สืบเนื่องจากศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผอ.ศปอส.ตร. ,พล.ต.ท.ธีรพล คุปตานนท์ ผบช.ทท. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนกว่า 100 ราย ว่าตกเป็นเหยื่อกลุ่มคนร้าย หลอกลวงให้ร่วมลงทุนโครงการซื้อขายทำกำไรระยะสั้นของหุ้นต่างประเทศ(ชอร์ทหุ้น) มูลค่าความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท เข้าข่ายกระทำความผิดตาม พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 โดยเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศจับกุม นายจิตรภณ นิศารัตน์ ตัวการหลักในการหลอกลวงลงทุนชอร์ทหุ้นต่างประเทศมาดำเนินคดีในความผิดฐาน“ร่วมกันฉ้อโกงโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง และร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน” และยังคงมีผู้ต้องหาอีก 2 คนในคดีที่หลบหนีการจับกุมตัว
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เหลือ 2 รายซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุมซึ่งเป็นระดับแม่ทีมในการหลอกลวงชอร์ทหุ้นต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานโครงการและผู้ดูแลโปรแกรมการลงทุน ชักชวนผู้เสียหายให้หลงเชื่อลงทุนกับตน คือ นายพีระยุทธ อาจอำนวย จับกุมที่บริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านเรียบทางด่วนรามอินทรา และนายศรฉัตร กล่ำแสง จับกุมที่บริเวณเขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ นำส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ยังเป็นแม่ทีมในการชักชวนประชาชนให้ลงทุนในแชร์ลูกโซ่อื่นๆ อีก โดยนายพีระยุทธฯ เป็นผู้ต้องหาซึ่งอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในคดีเครือข่าย OD Capital และนายศรฉัตรฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแชร์ลูกโซ่หลายเครือข่าย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” ระวางโทษ “จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา343
ความผิดฐาน “กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ระวางโทษ “จำคุก 5 – 10 ปี ปรับ 5แสน – 1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่” ตาม พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 , 5 , 12
ความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ระวางโทษ “จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560 มาตรา 14(1)