
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การอำนวยการของ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม , นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ,
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. , พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม, พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ , พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป. , พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว , พ.ต.อ.ปทักษ์ ขวัญนา รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผกก.4 บก.ป. , ว่าที่ พ.ต.อ.เนติวิทย์ ธนาสิทธิ์นิติกุล ผกก.2 บก.ป , พ.ต.อ.สุริยะศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. ,พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. , พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล , ร.ต.อ.อมรพันธุ์ นิติธีรานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ร.ท.ฐานันดร สำราญสุข หัวหน้าศูนย์เฝ้าระวัง การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye)
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจ สอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Committee , PDPC) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ปฏิบัติการตรวจค้น 8 เป้าหมาย (พื้นที่จังหวัดเชียงราย ,อุดรธานี ,สระบุรี ,ปทุมธานี ,สมุทรสาคร ,ประจวบคีรีขันธ์ ,ชลบุรี และภูเก็ต) และ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ รวม 6 คน ประกอบด้วย
1.นายจิรวุธ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6435/2568
2.นายผดุงเกียรติ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6436/2568
3.นายบุณยสิทธิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6437/2568
4.น.ส.ปรีดาวรรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6438/2568
5.น.ส.สุภัคชญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6439/2568
6.นายจิรกร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6440/2568
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นผู้เก็บรวบรวม ครอบครอง หรือเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรม ซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลหรือผู้ถึงแก่กรรมนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อนำไปใช้หรือให้บุคคลอื่นใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิด ทางอาญาอื่นใด กระทำโดยการซื้อ เสนอซื้อ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน เสนอแลกเปลี่ยน หรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย” อัตราโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 11/2
พร้อมตรวจยึดของกลาง
- เครื่องคอมพิวเตอร์ จำนวน 6 เครื่อง
- โทรศัพท์มือถือ จำนวน 17 เครื่อง
- อุปกรณ์สำรองข้อมูล จำนวน 9 เครื่อง
- สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 7 บัญชี
- สิ่งของอื่นๆ (อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ , สมุดจดบันทึกฯ) จำนวน 4 รายการ
วันเวลาและสถานที่จับกุมและตรวจค้น
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 พื้นที่จังหวัดเชียงราย , อุดรธานี , สระบุรี , ปทุมธานี , สมุทรสาคร , ประจวบคีรีขันธ์ , ชลบุรี และ ภูเก็ต
จากปัญหาอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ ทั้งกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมระดับประเทศอีกด้วย ภัยคอลเซ็นเตอร์จึงถือได้ว่าเป็นอาชญากรรมที่เป็นภัยร้ายแรง ซึ่งรัฐบาล , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้ความสำคัญในการป้องกัน และปราบปรามมาโดยตลอด พร้อมมีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ : “Anti Cyber Scam Center” (ACSC) เพื่อปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าว
จากการวิเคราะห์รูปแบบพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้าย ทั้งการกระทำความผิดในรูปแบบของการหลอกลวงทางออนไลน์แบบคอลเซ็นเตอร์ การชักชวนลงทุนผิดกฎหมาย หรือการชักชวนเล่นการพนันออนไลน์ กลุ่มคนร้ายมักจะทราบประวัติข้อมูลของผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ – สกุล , ที่อยู่ , หมายเลขโทรศัพท์ , หมายเลขบัญชีธนาคาร ก่อนจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวในการข่มขู่ หลอกลวง หรือใช้เป็นช่องทางติดต่อกับผู้เสียหาย ดังนั้นจึงทำให้เชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่กระทำความผิดทางออนไลน์เหล่านี้ มีข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไปอยู่ในครอบครองแล้วก่อนจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวมากระทำความผิด กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้สืบสวนแหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคลที่หลุดรั่วไปถึงกลุ่มคนร้าย จนต่อมาพบว่าในสื่อสังคมออนไลน์ มีการประกาศเสนอขายข้อมูลดังกล่าวผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “การตลาดสายเทา” โดยสมาชิกในเพจประกาศขายข้อมูล ส่วนบุคคลของผู้อื่น ซึ่งข้อมูลจะประกอบด้วย ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ บัญชีไอดีแอปพลิเคชั่นไลน์ บัญชีธนาคาร เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ในการกระทำความผิดออนไลน์ โดยเสนอขายในราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท ต่อจำนวน 100,000 รายชื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้สืบสวนโดยล่อซื้อข้อมูลดังกล่าว จากสมาชิกของเพจ รวมทั้งหมด 7 ราย ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้จากการล่อซื้อ พบว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลจริง และมีปริมาณรวมกันมากกว่า 2.3 ล้านรายชื่อ โดยเมื่อนำรายชื่อที่ได้รับมา ไปตรวจสอบกับระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Thai police online) ปรากฏว่ารายชื่อบุคคลที่ได้ จากการล่อซื้อนั้น เป็นผู้เสียหายในคดีที่ถูกหลอกลวงออนไลน์และแจ้งความไว้แล้ว จำนวน 4,630 คดี
รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 298,103,128.13 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนขยายผล รวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาได้ จำนวน 6 คน และได้ขออนุมัติหมายค้นเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย รวม 8 จุด
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 จึงได้เปิดปฏิบัติการ “Cut Down Scam – สยบเครือข่ายค้าข้อมูล ส่วนบุคคล” โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) เข้าทำการตรวจค้นสถานที่ จำนวน 8 เป้าหมาย
(พื้นที่จังหวัดเชียงราย , อุดรธานี , สระบุรี , ปทุมธานี , สมุทรสาคร , ประจวบคีรีขันธ์ , ชลบุรี และภูเก็ต) จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด รวม 6 คน และตรวจยึดอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ จำนวน 6 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 17 เครื่อง , อุปกรณ์สำรองข้อมูล จำนวน 9 เครื่อง , สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 7 บัญชี และ สิ่งของอื่นๆ (อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ , สมุดจดบันทึกฯ) จำนวน 4 รายการ
จากการสอบถามถึงแหล่งที่มาของข้อมูล กลุ่มผู้ต้องหารับว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากกลุ่มลักลอบ ทำเว็บพนันออนไลน์ แอปพลิเคชันกู้เงินออนไลน์ แอปพลิเคชันหลอกลวงขอข้อมูลผิดกฎหมาย แล้วนำมาลักลอบขายให้กับมิจฉาชีพในตลาดมืดออนไลน์ โดยจากการตรวจสอบของกลางเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มผู้ต้องหา ยังมีข้อมูลส่วนบุคคลเก็บไว้เพิ่มเติมอีกกว่า 6 ล้านรายชื่อ รวมรายชื่อข้อมูลส่วนบุคคลที่พบว่ารั่วไหล รวมประมาณ 9 ล้านรายชื่อ
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย เบื้องต้นให้การรับสารภาพ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์ เตือนภัย ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง หากต้องมอบข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองให้แก่ผู้อื่น ควรตรวจสอบว่าผู้ขอข้อมูลนั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด หรือข้อมูลที่ได้ไปจะถูกนำไปใช้ในลักษณะผิดกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ หรือ ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ โดยไม่ว่าผู้ขอข้อมูลจะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือบริษัทเอกชน ขอให้ตรวจสอบก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะเปิดเผยข้อมูลใด ๆ จนกว่าจะมั่นใจในความถูกต้อง ทั้งนี้ บุคคลที่ใช้ เก็บรวบรวม ซื้อ หรือจำหน่าย ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามกฎหมาย