ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบคนไทยขายชาติ รับเงินบอสจีน ผันตัวเป็นพ่อบ้าน เฝ้าบัญชีม้าฝั่งปอยเปต มิหนำซ้ำเป็นนายหน้าหาบัญชีม้าทั่วโคราชกว่า 200 ราย

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป.ปรก.บก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ, พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ ไหวดี ผกก.3 บก.ปอท., พ.ต.ท.สัญญา นิลนพคุณ, พ.ต.ท.เสริมศักดิ์ น้อยหัวหาด, พ.ต.ท.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล รอง ผกก.3 บก.ปอท.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ พุ่มพวง, พ.ต.ท.หญิง ภาพิมล ชัยขันธ์, พ.ต.ท.ชัยณรงค์ จอมเล็ก, พ.ต.ท.ประดิษฐ์ สุวรรณดี, พ.ต.ท.ประทีป จันทร์เพชรบุรี, ร.ต.อ.ประมุข ภิรมย์เจียว รอง สว.กก.3 บก.ปอท., ร.ต.อ.หญิง ศรุตา ขันธรูจี รอง สว.กก.3 บก.ปอท., ด.ต.เสริมศักดิ์ บัวขาว และด.ต.ธีรศักดิ์ พรภักดี ผบ.หมู่ กก.3 บก.ปอท.
ร่วมกันจับกุม นายวินัยฯ หรือเปรี้ยว อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5358/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, โดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” จับกุม บริเวณรีสอร์ตในพื้นที่ ม.12 ต.โชคชัย อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากได้รับมอบหมายจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ให้สืบสวนกรณีผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ในเพจเฟซบุ๊กปลอมที่แนะนำการเทรดหุ้น และได้โอนเงินไปยังบัญชีของผู้ต้องหาซึ่งเป็นบัญชีม้าหลายคน รวมความเสียหายจำนวน 3,800,000 บาท และเมื่อปลายปี 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. ได้เปิดปฏิบัติการ Cyber Guardian ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับและตรวจยึดทรัพย์สินที่น่าเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้รวมทั้งสิ้น 7 ราย และตรวจยึดทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านหรูราคา 27 ล้านบาท จำนวน 1 หลัง, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, คอนโดมีเนียมหรู จำนวน 4 ห้อง, โฉนดที่ดินที่ จ.ภูเก็ต, จ.ตาก, จ.เชียงใหม่, จ.เชียงราย จำนวนหลายแปลง, เงินสดกว่า 6 แสนบาท, ทองคำแท่งและกระเป๋าแบรนด์เนมอีกหลายรายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 80 ล้านบาท
จากนั้นได้สืบสวนอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามจับกุมตัวนายวินัยหรือเปรี้ยวฯ ผู้ต้องหารายสำคัญซึ่งเป็นนายหน้าที่ชักชวนบัญชีม้าในคดีนี้ไปเปิดบัญชีและสแกนหน้าที่ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา และยังเป็นพ่อบ้านคอยทำแอปฯธนาคารให้บัญชีม้า และเฝ้าบัญชีม้าที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปตอีกด้วย โดยสืบทราบว่า นายวินัยหรือเปรี้ยวฯ หลบหนีเข้ามาพักอยู่รีสอร์ตในพื้นที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เพื่อหาบัญชีม้า จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เข้าตรวจสอบ พบนายวินัยหรือเปรี้ยวฯ อยู่ที่รีสอร์ตดังกล่าว ขณะกำลังพาคนในพื้นที่ไปเปิดบัญชีและทำแอปฯธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าแสดงตัวพร้อมแสดงหมายจับของศาลอาญา ที่ 5358/2567 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ต่อหน้านายวินัยหรือเปรี้ยวฯ ซึ่งนายวินัยหรือเปรี้ยวฯ รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริงและไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การเบื้องต้น ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าเริ่มจากเคยรับจ้างเปิดบัญชีม้า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 จากนั้นเมื่อบัญชีถูกอายัด และรู้ว่าบัญชีถูกไปใช้เป็นบัญชีม้าให้แก๊ง Call Center จึงไม่กล้ากลับประเทศไทย เนื่องจากกลัวว่าจะถูกจับกุม จึงผันตัวเป็นพ่อบ้าน คอยเฝ้าบัญชีม้าที่รอสแกนหน้า ที่ออฟฟิศซานโฮ ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยได้รับเงินเดือนจากบอสจีนเดือนละ 15,000 บาท และเมื่อบัญชีม้าที่เคยมาสแกนหน้ากลับไป และหาบัญชีม้ามาเพื่อส่งออฟฟิศดังกล่าวจะติดต่อผ่านผู้ต้องหาซึ่งจะได้รับค่านายหน้าบัญชีละ 1,000 บาท โดยทำมาแล้วเกือบ 2 ปี มีบัญชีม้าที่ชักชวนมาจากทั่วจังหวัดนครราชสีมา กว่า 200 ราย และเมื่อเจ้าหน้าที่มีการเข้าปราบปรามที่ออฟฟิศฝั่งปอยเปต เมื่อช่วงต้นปี 2568 ทำให้ออฟฟิศปิด จึงได้ข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติกลับเข้ามาประเทศไทย และถูกจับกุมได้ที่ จ.นครราชสีมา ขณะกำลังพาบัญชีม้าเปิดบัญชีและทำแอปฯธนาคาร