คืบหน้าคดีหนุ่มวัย 17 ปี กับคุณย่า ถูกหลอกโอนเงินเก็บทั้งชีวิต กว่า 3.4 ล้านบาท รวบแล้วบัญชีม้าแถวแรก เร่งขยายผลล่าตัวการ
ตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายในการเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.จตช. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. ได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่าน พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบควบคุมสั่งการ บช.สอท. และ พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท. นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อสามารถติดตามทรัพย์สินที่หลอกลวงไปกลับมาเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหาย จนนำมาสู่ปฏิบัติการดังกล่าว
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธ.ค.67 เวลา 11.00 น. ณ บริเวณชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ บช.สอท. (เมืองทองธานี) นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร.รรท.ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว “คืบหน้าหนุ่มวัย 17 ปี กับคุณย่า ถูกหลอกโอนเงินเก็บทั้งชีวิต กว่า 3.4 ล้านบาท รวบแล้วบัญชีม้าแถวแรก เร่งขยายผลล่าตัวการ
สืบเนื่องจากกรณีเยาวชนชายอายุ 17 ปี อาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่าในพื้นที่ จ.อุดรธานี ได้ถูกกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกลวงอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ DSI จนสูญเงินกว่า 3.4 ล้านบาท โดยมีสายปริศนาโทรเข้ามา อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI แล้วหลอกว่าบัญชีธนาคารของนายรพีภัทรเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีฟอกเงินของนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ โดยมิจฉาชีพที่โทรเข้ามานั้น ทราบข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย และแจ้งว่าได้อายัดบัญชีและปิดการใช้งานแอป Mobile Banking ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายได้ เมื่อผู้เสียหายตรวจสอบปรากฏว่าบัญชีธนาคารได้โดนอายัดและไม่สามารถเข้าใช้งานแอป Mobile Banking ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้จริง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริง
จากนั้นมีคนแต่งกายเป็นตำรวจทั้งชายและหญิงมาพูดคุยด้วย แล้วแจ้งให้โอนเงินไปตรวจสอบจำนวน 50,000 บาท แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่มีเงินในบัญชี มิจฉาชีพจึงบอกให้ไปหาเงินจากบัญชีธนาคารของญาติหรือใครก็ได้ แล้วโอนไปให้ตรวจสอบผู้เสียหายและย่าของผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงนำโทรศัพท์ของย่าที่มีแอปพลิเคชันธนาคารและมียอดเงินในบัญชีจำนวน 2 บัญชี โอนเงินไปให้คนร้ายรวม 10 ครั้ง เป็นจำนวน 1,372,311 บาท
ต่อมา ผู้เสียหายยังได้นำโทรศัพท์ของปู่ตนเองโอนเงินให้คนร้ายอีก จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 46,163 บาท แล้วได้นำบัญชีธนาคารอีกบัญชีของย่าซึ่งไม่สามารถโอนผ่านแอปพลิเคชันได้ ไปปิดบัญชีที่ธนาคาร แล้วนำเงินเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ก่อนโอนให้มิจฉาชีพอีก 1 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 1,998,004 บาท รวมความเสียหายที่โอนเงินทั้งสิ้น 3,412,642 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินเก็บของปู่และย่าของผู้เสียหายที่ได้เก็บมาทั้งชีวิต
โดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.รรท.ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย พร้อมให้กำลังใจผู้เสียหายว่าตำรวจจะติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุโดยเร็ว
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้หลายราย โดยล่าสุด พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนนำโดย พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 นำหมายจับศาลอาญาที่ 6106/2567 ลง 16 ธ.ค.67 เข้าจับกุมตัวนายภีมากร อายุ 32 ปี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจด้วยการขู่เข็ญ, ร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ลีร่วมกันฟอกเงิน” โดยควบคุมตัวได้ที่บ้านพักในพื้นที่ ม.6 ต.ถลุงเหล็ก
อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์
สอบถามเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าตนไม่เคยรับจ้างเปิดบัญชี แต่เคยไปลงข้อมูลไว้ในแอปหางาน และมีการแจ้งข้อมูลส่วนตัวรวมทั้งเลขบัตรประชาชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่พบข้อมูลหลักฐานสำคัญทางเส้นทางการเงิน และอยู่ระหว่างขยายผลจับกุมผู้ต้องหาอื่นที่ร่วมขบวนการรวมไปถึงตัวการใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าเร็วๆนี้ต่อไป
นอกจากนี้ จากกรณีจับกุมนายอาทิตญา อายุ 42 ปี สาวประเภทสองซึ่งเป็นผู้ต้องหากรณีจัดหาบัญชีม้าในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวง “ชาลอต ออสติน” นางงามชื่อดัง ที่ได้มีการแถลงความคืบหน้าเมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนพบข้อมูลเส้นทางการเงินว่า ได้มีความเชื่อมโยงไปยังคดีอื่นอีกจำนวน 92 คดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลจับกุม และจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบเร็วๆนี้
ทั้งนี้ ตำรวจไซเบอร์ยังคงยืนยันว่า “ตำรวจไซเบอร์ทุกนายมีความตั้งใจในการทำคดีอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นที่พึ่งและเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหายทุกราย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนมีชื่อเสียง บุคคลทั่วไป หรือกลุ่มเปราะบาง จึงขอให้มั่นใจในการทำงานของตำรวจไซเบอร์”