ร.ต.อ.ดัสกร พิมขาลี หรือครูบอย ตำรวจม้าที่พ่วงตำแหน่งนักกีฬาขี่ม้า และครูสอนขี่ม้า เป็นตัวอย่างของบุคคลที่ไม่เพียงมุ่งมั่นในหน้าที่ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นด้วยการคิดบวก และการรักในสิ่งที่ทำ
ร.ต.อ.ดัสกร พิมขาลี พื้นเพเป็นคนจังหวัดพะเยา เป็นคนที่ชอบการขี่ม้า และยังทำเป็นอาชีพเนื่องจากเป็นตำรวจม้า ทุกอย่างที่เกี่ยวกับม้าครูบอยเล่าว่าสามารถทำได้หมด เพราะเดิมทีก่อนจะมารับราชการตำรวจม้า เคยเป็นข้าราชการทหารม้ามาก่อน ที่กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ สนามเป้า ก่อนโอนย้ายมาเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดกองกำกับการสุนัขและม้าตำรวจ ในปี 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่ตนได้รับโอกาสพัฒนาหน่วยงานตำรวจม้า จากคำเชิญของผู้ที่เห็นถึงศักยภาพ และความรู้ที่มีเกี่ยวกับม้า
ก่อนหน้าที่จะมารับราชการ ทำอาชีพอะไรมาก่อนไหม ?
ร.ต.อ.ดัสกรหรือครูบอยเล่าให้ฟังว่าจบม.6 ก็มาสอบนักเรียนนายสิบทหารบก และเลือกลงเหล่าม้า เพราะทหารม้าต้องขับรถถัง จริง ๆ ตนไม่อยากขี่ม้าอยากขับรถถังมากกว่า พอได้รับราชการบรรจุก็ได้ไปอยู่ที่หน่วยใช้ม้า
เห็นว่าเคยติดทีมชาติด้วย ?
ในปี 2007 มีซีเกมส์ที่พัทยา ครูบอยเลยมีโอกาสได้ไปคัดตัว จึงนับว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรก แม้จะพลาดเหรียญรางวัลในครั้งนั้นก็ตาม เพราะตกม้าในรอบรองชนะเลิศ ครูบอยยังเล่าให้ฟังอีกว่า “นักกีฬาขี่ม้าในเมื่อเราเล่นกีฬาไปแล้ว ทุกคนต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายก็คือ การแข่งขันระดับประเทศ ตามไปด้วยการแข่งขันระดับสโมสร ชิงแชมป์ประเทศไทย หลังจากนั้นจะข้ามขั้นไปเป็นซีเกมส์ เมื่อประสบความสำเร็จในซีเกมส์ก้าวต่อไปก็จะเป็นเอเชียนเกมส์ และตามไปด้วยโอลิมปิกเกมส์ สุดท้ายจะเป็นเวิล์ดเกมส์ตามแบบฉบับของนักกีฬาทุกประเภท”
ในครั้งแรกที่ครูบอยได้เข้าไปแข่งอยู่ในทีม เป็นปกติที่จะตื่นเต้นบ้าง แต่ตนก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย เพราะว่าเพิ่งเข้าไปแข่งครั้งแรก ก็จะพยายามแข่งให้จบ คิดว่าการขี่ม้าเป็นกีฬา เมื่ออายุมากขึ้นการแข่งขันก็จะมีเด็กรุ่นใหม่ขึ้นมา ตนเลยจะทำการฝึกน้อง ๆ และรับหน้าที่เป็นครูโดยส่วนใหญ่ ตอนนี้ก็ได้ม้ามาใหม่ประมาณ 4-5 ตัว จากนอร์ทไอแลนด์เป็นม้าที่มีความสามารถด้านกีฬา ในอนาคตหลายคนก็อาจจะเห็นชุดตำรวจขี่ม้าอยู่ในซีเกมส์ เอเชียนเกมส์
ทำไมครูบอยไม่เป็นนักกีฬาต่อ ?
ในการขี่ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติ คือการชิงแชมป์ประเทศไทย ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ ต้องมีอุปกรณ์คือม้า ม้าตัวหนึ่งสามารถใช้ในการแข่งได้ 5-6 ปี ซึ่งพอหมดอายุก็ต้องหาม้าตัวใหม่ ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง จะต้องมีทุนทรัพย์ในการแข่งขัน แต่ทุกวันนี้ตนก็ยังแข่งขันอยู่ แต่แค่ไม่ได้แข่งรายการใหญ่ ๆ
ปัจจุบันได้ทำอะไรนอกเหนือจากอาชีพตำรวจไหม ?
ในปัจจุบันครูบอยได้รับสอนขี่ม้า รับฝึกม้าทั้งในและนอกสถานที่ ทำทุกอย่างเกี่ยวกับม้า แม้กระทั่งดูแลสนามหญ้า และยังรับทำสนามม้า
จุดเริ่มต้นในการเลือกมาเป็นตำรวจ ?
ในปี 2559 ได้รู้จักท่านผู้บังคับบังการ 191 และได้รู้จักพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ครูบอยเล่าว่า ท่านสมยศอยากให้ตนเข้ามาช่วยงานตำรวจม้า เนื่องจากตำรวจม้ายังมีความล้าหลังไม่ทันสมัยเหมือนทหารม้า ที่มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถเป็นถึงนักกีฬาได้เหรียญรางวัลมากมาย ท่านสมยศจึงขอให้ตนเข้ามาช่วยในการพัฒนาตำรวจม้า โดยมีการโอนย้ายครูบอยมาทำงานราชการตำรวจ ทำให้ในช่วง 6-7 ปีมานี้ ตำรวจม้ามีการพัฒนามากขึ้น
ในมุมมองอะไรที่ทำให้เลือกทำงานราชการมากกว่าเอกชน ?
ในรุ่นยุค 90 หรือรุ่นของครูบอย ครูบอยเล่าว่าสมัยนั้นการรับราชการมีความมั่นคงมากกว่า พ่อแม่ครูบอย จึงอยากให้รับราชการ ถ้าอนาคตอยากทำธุรกิจค่อยต่อยอด ซึ่งถ้าเทียบปัจจุบันเน้นความคิดตนเองเป็นหลัก มีความมั่นใจในตนเองสูง และการทำธุรกิจอะไรมันจะประสบความสำเร็จได้ง่ายไม่ต้องรอเวลา เพราะมีสื่อโซเชียลทำให้การเข้าถึงง่ายกว่า แต่ก็ต้องมองตรงข้ามส่วนที่ดีก็มีส่วนที่ไม่ดีก็มี ตรงนี้ก็ต้องระวัง ครูบอยกล่าว
ปัจจุบันหน้างานที่ทำอยู่มีอะไรบ้าง ?
ครูบอยเป็นรองสารวัตรกองกำกับการม้าตำรวจ เป็นหัวหน้าชุดครูฝึก งานประจำวันของครูบอยก็คือการฝึกม้าในช่วงเช้า และดูแลม้า นำม้าออกไปปฏิบัติหน้าที่รอบพระบรมหาราชวัง และพระราชวังสวนจิตรลดารอบเช้า 1 รอบ รอบบ่าย 1 รอบ ทุกครั้งที่มีหมายเสด็จของในหลวง จะมีการนำม้าออกไปไว้ตั้งกองเกียรติยศ ณ ลานพระรูปทรงม้าหน้าพระราชวังสวนอัมพร เมื่อเวลาท่านเสด็จออกจากวังก็จะเจอขบวนม้า เวลาท่านกลับเข้าวังก็จะเจอขบวนม้า เป็นการเทิดพระเกียรติ และถวายความปลอดภัย เป็นภารกิจหลักของกองกำกับการม้าตำรวจ ครูบอยยังเล่าให้ฟังอีกว่า การขี่ม้าจะเป็นการขี่ม้าในพระราชพิธี ทั้งพระราชพิธีในหลวง ร.9 พระราชทานเพลิงศพ แล้วหลังจากนั้นเป็นงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกรัชกาลที่ 10 ในขบวนพระราชพิธี จะไม่มีคำว่าพลาด เพราะซ้อมกันมาหลายเดือน โดยครูบอยนั้นจะขี่ม้าขำริ้วขบวนพระราชพิธี
ช่วงที่ประทับใจในชีวิตที่ผ่านมา ?
ครูบอยเล่าว่าในตอนที่ครูบอยเป็นทหาร จะมีการสวนสนามราชวัลลภหน้าพระพักตร์ของรัชกาลที่ 9 กับพระพันปีหลวงทุกปี พอโอนย้ายมารับหน้าที่ตำรวจม้า ตนก็ได้รับหน้าที่ในการขี่ม้านำริ้วขบวน เมื่อผ่านพระพักตร์ได้ถวายความปลอดภัยได้เทิดพระเกียรติท่าน ก็ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของตนเองและครอบครัว ครูบอยยังเล่าต่ออีกว่าในเรื่องเกี่ยวกับม้าถือว่าเป็นความภูมิใจ ถ้าไม่ได้มาขี่ม้า ไม่ได้เป็นทหารม้า ไม่ได้เป็นตำรวจม้า ตนก็คงไม่มีโอกาสที่จะไปเจอม้า ไม่มีโอกาสไปต่างประเทศ ไม่มีโอกาสได้ทำธุรกิจอะไรที่เกี่ยวข้องกับม้า
มีการจัดแบ่งเวลายังไงบ้าง… ?
สอนขี่ม้าจะสอนหลังจากเวลาราชการคือหลัง 16.00 น. เป็นต้นไป และก็วันหยุดนักขัตฤกษ์ เสาร์-อาทิตย์ เวลาราชการก็จะปฏิบัติงานปกติ ครูบอยยังบอกอีกว่าคติประจำใจของตนคือ “การทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็อยู่กับวันพรุ่งนี้ สำหรับข้าราชการตำรวจเรื่องขั้นตำแหน่งไม่ได้ตามวาระเป๊ะ ๆ เพราะตำแหน่งน้อยคนเยอะก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย”
รู้สึกเหนื่อยบ้างไหม ?
จริง ๆ ตนเป็นคนคิดบวก เนื่องจากไม่ได้ทำงานอยู่กับโต๊ะหรือสิ่งไม่มีชีวิต แต่ทำงานอยู่กับม้า ตัวม้าจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ผ่อนคลายเวลาไปเจอม้าทำให้หายเครียด ในชีวิตรับราชการถือว่าประสบความสำเร็จจากชั้นประทวนได้เป็นสัญญาบัตร ได้เป็นสัญญาบัตรตอนเป็นตำรวจ เพราะว่าอบรมหลักสูตร กอส. รุ่น 45
มีการพัฒนาตัวเองยังไงบ้าง… ?
ครูบอยเป็นคนชอบเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง ทำตัวให้น้ำไม่เต็มแก้ว ศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งในอินเทอร์เน็ต ทั้งสอบถามคนที่มีความรู้อยู่ตลอด และพยายามหาไอเดียใหม่ ๆ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาตนเองและที่ทำงาน
ตั้งแต่เริ่มทำงานมา ได้อะไรจากงานที่ทำบ้าง ?
ครูบอยเล่าว่าอันดับแรกคือการรับราชการก็จะต้องมีค่าตอบแทน ทำให้สามารถดูแลครอบครัวดูแลพ่อแม่ได้ และอาชีพรับราชการยังส่งผลไปต่อธุรกิจด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า การสอนขี่ม้า การทำธุรกิจเกี่ยวกับม้า ทำให้ไปต่อกันได้ แต่ตนก็ได้ผ่านมาทุกรูปแบบ ทั้งตกม้าบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อเวลาแข่งขันได้รางวัลก็รู้สึกดีใจ และภูมิใจ พอมีความรู้ก็สามารถถ่ายทอดไปให้เด็ก ๆ ได้ ทำให้เด็ก ๆ ได้สานฝัน ได้กลายมาเป็นผู้ให้ เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ครูบอยยังบอกอีกว่ากิจกรรมขี่ม้าช่วยหลาย ๆ อย่าง ถ้าไม่มีกิจกรรมที่ให้เด็ก ๆ ทำ เด็ก ๆ ก็จะเล่นอยู่กับโซเชียลตลอดเวลา ทั้งเรื่องสมาธิการควบคุมอารมณ์ จะใส่อารมณ์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเวลาอยู่กับม้าหลาย ๆ อย่างต้องไปด้วยกัน เวลาเด็กมาขี่ม้าก็จะมีจิตใจเอื้อเฟื้ออ่อนโยน ผสมกับความแข็งแรง แข็งแกร่ง ไม่ใช่อ่อนโยนอย่างเดียว เพราะถ้าอ่อนโยนอย่างเดียวจะขี่ม้าบังคับม้าไม่ได้ จะกลัวม้า กลัวม้าเจ็บบ้าง จะขี่ม้าไม่ได้
แรงบันดาลใจ ?
ครูบอยบอกว่าตัวเขาไม่ค่อยมีมายไอดอล แต่เวลาขี่ม้าก็จะดูทางทีวีบ้าง อินเทอร์เน็ตบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกนักกีฬาระดับโลก ของครูบอยก็จะมีการเล่นกีฬาประเภทอีเวนท์ติ้ง ก็คือขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวางในภูมิประเทศ จะโดดข้ามขอนไม้ลงน้ำ ม้าตัวเดียวจะขี่ 3 ประเภท วันแรกจะขี่ศิลปะบังคับม้า วันที่สองจะขี่เป็นการกระโดดในภูมิประเทศ คือการวิ่งลงน้ำข้ามขอนไม้ วันที่สามจะกระโดดข้ามเครื่องกีดขวางในสนาม และเอาคะแนนสามวันมารวมกัน ใครมีคะแนนเสียน้อยสุดจะเป็นผู้ชนะ จะมีนักกีฬาระดับโลกไม่ว่าจะเป็นไมเคิล จุง แชมป์โอลิมปิก 3 สมัยก็ถือว่าเป็นไอดอลในฉบับของนักกีฬา
หลักการใช้ชีวิต ?
ครูบอยบอกว่าอันดับแรกเราต้องมองบวก เพราะทุกอย่างจะเริ่มต้นจากความคิด ถ้าคิดดาวน์ คิดไม่ดี มันจะดาวน์ลงไปต้องคิดบวกก่อน ถ้าเรามองบวกได้มันก็จะทำให้เราจิตใจดี “my inside body” มีจิตใจดีร่างกายก็จะดีตาม การปฏิบัติงานมันก็จะดีตามไปด้วย และที่กองกำกับการม้าตำรวจ มีชมรมขี่ม้าตำรวจ 191 สามารถติดต่อได้ที่กองกำกับการตำรวจ ที่กองกำกับการจะมีการจัดครูให้ตามลำดับ
ฝากถึงคนที่อยากมาเป็นตำรวจ ?
ครูบอยฝากถึงผู้ที่สนใจในอาชีพตำรวจว่า อันดับแรกต้องรักในอาชีพนี้ และเตรียมใจรับคำวิจารณ์ให้ได้ ให้พยายามมองบวกไว้แล้วจะไม่คิดมาก เพราะตำรวจมีการฆ่าตัวตายเยอะ ถ้าเปรียบเทียบกับทหาร ถ้าเรารักในอาชีพ เรื่องอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และเตรียมร่างกายให้พร้อม