รวบแก๊งกรรมการบริษัททิพย์ ออกใบกำกับภาษีปลอม จำนวน 105 ฉบับ รัฐเสียหายกว่า 17 ล้านบาท

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบ 4 กรรมการบริษัททิพย์ ออกใบกำกับภาษีปลอม จำนวน 105 ฉบับ รัฐเสียหายกว่า 17 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผกก.2 บก.ปอศ. และ พ.ต.ท.วาทิต จิตรจันทึก รอง ผกก.2 บก.ปอศ.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย  พ.ต.ท.ชวพล เชื้อเพ็ชร์ สว.กก.2 บก.ปอศ.,พ.ต.ท.พีระพัฒน์ สุทธเสนา สว.กก.๒ บก.ปอศ., พ.ต.ท.วรรณลพ รัตนวงษ์ สว.กก.2 บก.ปอศ. และ พ.ต.ท.หญิง วณิชยา ไชยปรุง สว.กก.2 บก.ปอศ. พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. 

ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับทั้งหมด  4 ราย ดังนี้

1. นาย อาชว์ฯ อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ 828/2567 ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออก เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร” จับกุม บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่งใน หมู่ 2 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

2. นางสาวกษมลฯ อายุ 62 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ 826/2567 ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออก เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร” จับกุม บริเวณริมถนนเลียบคลอง หมู่ที่ 4 ต.นางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี

3. นายนิรุตฯ  อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ 829/2567 ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออก เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร” จับกุมบริเวณหน้าตึกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

4. นายสิทธิโชค หรือนายนิรันดร์ฯ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ 827/2567 ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 ในความผิดฐาน “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออก เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4(3) แห่งประมวลรัษฎากร” จับกุม บริเวณหน้าตึกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

พฤติการณ์  เนื่องด้วยกรมสรรพากรได้มาร้องทุกข์ ที่ กก.2 บก.ปอศ. ให้พิจารณาดำเนินคดีอาญาความผิดกับ บริษัทแห่งหนึ่ง และอดีตกรรมการบริษัททั้งสิ้น 4 ราย  คือ 1. นายนิรุตฯ 2.นายนิรันดร์ฯ 3.นายอาชว์ฯ 4.นางสาวกษมลฯ ซึ่งเป็นกรรมการร่วมกันในขณะความผิดเกิด ในข้อหา “ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3)” แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ ช่วงเดือน มีนาคม 2557  บริษัท มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับประกอบธุรกิจการขายวัสดุก่อสร้าง แต่เจ้าพนักงานกรมสรรพากร ตรวจสอบพบว่า บริษัท ดังกล่าว ไม่มีการประกอบกิจการ ณ สถานประกอบการดังกล่าวจริง โดยสถานที่ตั้งบริษัท มีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นครึ่ง สภาพเก่า ไม่พบการประกอบกิจการของบริษัทฯ สอบถามผู้อาศัยข้างเคียงให้การว่า บริษัท 

ได้ยกเลิกการเช่าอาคารดังกล่าว เมื่อปลายเดือนกันยายน 2559 และไม่ทราบว่าย้ายสถานประกอบการไปที่ใด ไม่สามารถติดต่อได้ กรมสรรพากรจึงเชื่อว่าบริษัทดังกล่าว มีการออกใบกำกับภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาไม่ได้มีเจตนาที่จะประกอบกิจการจริง ประกอบกับบริษัทดังกล่าวไม่ส่งมอบเอกสารให้เจ้าพนักงานกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบแต่อย่างใด  แต่บริษัทดังกล่าวได้ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกช่วงเดือนภาษีมิถุนายน 2557 ถึงเดือนภาษีสิงหาคม 2559  ให้กับผู้ประกอบการรายอื่น นอกจากนี้กรมสรรพากรได้รับแจ้งจาก สำนักงานสรรพากรพื้นที่ต่าง ๆ พบว่า มีใบกำกับภาษีขายที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ออกโดย บริษัทดังกล่าว ไปยังผู้ประกอบเพื่อใช้ยื่นขอเครดิตภาษี(ขอคืน) 

ต่อกรมสรรพากรรวมใบกำกับภาษีจำนวน 105 ฉบับ ซึ่งใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้นและไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง รวมมูลค่าสินค้ากว่า 16 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) กว่า 1 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 17.9 ล้านบาท จึงเชื่อได้ว่า การออกใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นการออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 86/13 แห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นความผิด ตามมาตรา 90/4 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากนั้นพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. ได้อออกหมายเรียกเพื่อติดต่อตัวกรรมการทั้ง 4 ราย มาทราบข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่มีกรรมการคนใดมาพบพนักงานสบอสวนตามที่ออกหมายเรียกไป จึงเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์หลบหนี พนักงานสอบสวนจึงได้ขออนุญาตศาลเพื่อออกหมายจับเพื่อนำตัวกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป หลังจากที่ ศาลได้อนุมัติหมายจับกรรมการทั้ง 4 ราย แล้วนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ.  เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม  ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นาย อาชว์ฯ และ นางสาวกษมลฯ ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 จะมาปรากฏตัวในบริเวณที่จับกุม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมจึงได้เดินทางไปเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณดังกล่าว และในวันเวลาที่จับกุม เมื่อผู้ต้องหาปรากฏตัว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าแสดงตัวขอตรวจสอบดูและพบว่าเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับจริง จึงดำเนินการจับกุมบริเวณดังกล่าว และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

จากนั้น นายนิรุตฯ และนายสิทธิโชค หรือนายนิรันดร์ฯ ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. เพื่อขอมอบตัวและนำตัวได้ผู้ต้องหาทั้งสอง ส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และมีการให้รายละเอียดคำให้การในลักษณะตรงกันว่าตนไม่รู้จักบริษัทดังกล่าว แต่อย่างใด  แต่ผู้ต้องหาที่ 3 และ 4 ให้การเพียง เมื่อปี พ.ศ.2557 เคยมีคนขอบัตรประจำตัวประชาชนไปใช้เกี่ยวกับการตัวแทนขายสินค้าให้รูปแบบขายตรงเท่านั้น 

เตือนภัย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ดำเนินการตามมาตรการเชิงรุก ป้องกันปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจ ที่ได้ดำเนินการหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยฉ้อโกง หรือใช้กลอุบาย ทำให้รัฐเกิดความเสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายรัษฎากร และฝากเตือนถึงประชาชน ห้ามขาย หรือ ให้บัตรประชาชนแก่ผู้อื่นโดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ มิเช่นนั้นจะตกเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว