วันนี้ (25 เม.ย 67) เวลา 10.30 น. ที่ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงข่าวผลการปฏิบัติกรณีจับกุม บุคคลที่แพทย์ทำการรักษาโรคให้ประชาชนทั่วไป นำแถลงข่าวโดย พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดย น.พ สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ กล่าวว่าพฤติการณ์ คือ สืบเนื่องจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียนจากโครงสร้างโดนบริการสุขภาพ (สบส.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี (สสจ.ปทุมธานี) ในการตรวจสอบ กรณีปรากฏข่าวประชาชนเลเซอร์ขนบริเวณบริเวณอวัยวะเพศจนเกิดแผลติดเชื้อ ซึ่งการหัตถการ เช่น การเลเซอร์ หรือการฉีดสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกายจะต้องกระทำโดยแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอย่างถูกต้อง
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าคลินิกดังกล่าวเปิดให้บริการเสริมความงามโดยใช้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ทำการเลเซอร์ขนตามร่างกายให้ประชาชนทั่วไปจริง เมื่อวันที่ 24 เมษายน 67 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี เข้าตรวจสอบคลินิกเสริมความงามในพื้นที่ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พบ น.ส. สาธิตา อายุ 38 ปี ทำการเลเซอร์ขนตามร่างกายให้กับผู้รับบริการเมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบพบว่าสถานพยาบาลดังกล่าวมีใบอนุญาตประกอบกิจการและใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาลถูกต้อง แต่ น.ส. สาธิตา ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมแต่อย่างใด โดยกล่าวอ้างว่าจบหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล โดยทำมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุม น.ส.สาธิตา พร้อมตรวจหยุดยาแผนปัจจุบัน ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา เวชระเบียบผู้มารับบริการ อุปกรณ์ในการทำการรักษารวม 10 รายการ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
ซึ่งกรณีที่ปรากฏข่าวกรณีมีประชาชนเลเซอร์คุณประเวศอวัยวะเพศจนเกิดใหม่เป็นเหตุติดเชื้อนั้นมีพนักงานภายในคลินิกเป็นผู้ทำหัตถการเลเซอร์ซึ่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ จะได้รวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป ซึ่งการปล่อยให้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์มามาให้การรักษาผู้นำการจะพยาบาลจะถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล 2541 ฐาน ปล่อยประละเลยให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพทำการประกอบวิชาชีพและสถานพยาบาล ระหว่างโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีคำสั่งทาง ปกครองให้ปิดสถานพยาบาลเป็นการชั่วคราวหรืออาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตได้โดยหากผู้การกระทำความผิดพนักงานสอบสวนจะมีการออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป