เปิดยุทธการทลายขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ พบเงินหมุนเวียนร่วม 10 ล้านบาท

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดยุทธการทลายขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ พบเงินหมุนเวียนร่วม 10 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.,พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตนานุรักษ์ รอง ผบช.ก.,พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม., พ.ต.อ.กรีธา ตันคณารัตน์., พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์.,พ.ต.อ.มารุต กาญจนขันธกุล.,พ.ต.อ.วุฒิชัย จันโทภาส.,พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส รอง ผบก.ปคม.,พ.ต.อ.กึกก้อง ดิศวัฒน์ ผกก.5 บก.ปคม. และพ.ต.ท.อาทิตย์ พุ่มทอง รอง ผกก.5 บก.ปคม. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.เกริก เสนาะสำเนียง รอง ผกก.5 บก.ปคม., พ.ต.ท.กิตติภพ ทองเพชร., พ.ต.ท.ปริญญา รักษาแก้ว สว.กก.5 บก.ปคม. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปคม.

ตามนโนบายเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในเรื่องการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ยางพาราเถื่อน หนี้นอกระบบ และการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย บริเวณพื้นที่ชายแดน จ.กาญจนบุรี ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิต และความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงได้เน้นย้ำให้ทุกกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการสอบสวนกลาง (CIB) กวดขันจับกุมการกระทำผิดในฐานความผิดที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วน เพื่อสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยให้กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ เร่งสืบสวนปราบปรามคดีความผิดในกลุ่มขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปคม. ได้ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นจับกุม ผู้ต้องหาขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ มาอย่างต่อเนื่อง

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า จะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ บริเวณชายแดน อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นจำนวนมาก และนำมาพักคอยที่บริเวณ ป่ามันสำปะหลังริมถนนสาธารณะ หมู่ 5 ต.หนองบัว อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี โดยจะมีการใช้รถยนต์ลักลอบในการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างต้าว โดยผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำเรียนผู้บังคับบัญชา และสนธิกำลังเฝ้าสังเกตที่ในพื้นที่ ต.หนองบัว อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี และสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ทำการรับจ้างขนแรงงานผิดกฎหมายเป็นชาย ชาวไทย ได้ จำนวน 4 คน พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “ให้คนต่างด้าวซึ่งตนรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัยซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม” ขณะเดียวกันสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เป็นชาวโรฮิงญา จำนวน 96 ราย (ชาย 76 ราย หญิง 20 ราย ) แจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งในวันเดียวกันนั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจับกุมตัวผู้ต้องหาดังกล่าวอยู่นั้น ได้มีนายเตยโซ อายุ 27 ปี สัญชาติ เมียนมาร์ (ทราบชื่อภายหลัง) ก่อเหตุใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาด ยิงออกมา จำนวน 1 นัด ก่อนหลบหนีไป โดยทิ้งรถยนต์กระบะยี่ห้อ Mazda bt50 สีดำ ไว้ที่บริเวณจุดเกิดเหตุ ตรวจสอบเอกสารภายในรถ พบภาพถ่าย และเอกสารประจำตัวอยู่ภายใน เมื่อนำภาพให้กลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมดู ได้รับการยืนยันว่านายเตยโซ ฯ คือบุคคลที่ติดต่อพาแรงงานต่างด้าวมาส่ง พนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาลออกหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 282/2566 ในข้อหา “ซ่อนเร้น ช่วยเหลือ หรือช่วย ด้วยประการใดๆ เพื่อให้บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน” กระทั่งสามารถจับกุมตัว นายเตยโซ ฯ ไว้ได้ เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2566

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ปคม. ได้สืบสวนขยายผลหาตัวนายหน้าขนแรงงานผิดกฎหมาย จนพบความเชื่อมโยงข้อมูลเส้นทางการเงิน กล้องวงจรปิด และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลมาโดยตลอด จนนำไปสู่การขอศาลออกหมายจับไว้ จำนวน 6 ราย
กระทั่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคม. ได้ร่วมกัน ปิดล้อมตรวจค้น บ้านเป้าหมายจำนวน 2 จุด และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 5 ราย ดังนี้

1.) นายวิทยา ฯ อายุ 36 ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 180/2567 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2567 จับกุมได้ที่บริเวณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมืองกาญจนบุรี ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

2.) น.ส.สุ ฯ สัญชาติเมียนมาร์ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 181/2567 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2567 จับกุมได้ที่บริเวณ โรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

3.) นายปรีชา ฯ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 182/2567 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2567 จับกุมได้ที่บริเวณ บ้านเลขที่ 281/18 หมู่ 4 ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

4.) นายโลน ฯ สัญชาติเมียนมาร์ อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 184/2567 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2567 จับกุมได้ที่บริเวณ ริมถนนสาธารณะ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

5.) นายบุญเลิศ ฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 185/2567 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2567 จับกุมได้ที่บริเวณ หน้าบ้านเลขที่ 126 หมู่ 1 ต.เสือโฮก อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วย ด้วยประการใดๆเพื่อให้บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม”

สําหรับรายที่ 1-2 คือ นายวิทยา ฯ และน.ส.สุ ฯ เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.5 บก.ปคม. ได้ร่วมกันเข้าทําการตรวจค้น บ้านพักในพื้นที่ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ตามหมายค้น ของศาลจังหวัดทองผาภูมิ ที่ ค 17 ลงวันที่ 26 มี.ค. 2567 ผลการตรวจค้น พบพยานหลักฐานและบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีที่เกี่ยวข้องกว่า 6,000,000 บาท สําหรับรายที่ 3 คือ นายปรีชา ฯ เจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.5 บก.ปคม. ได้ร่วมกันเข้าทําการตรวจค้น บ้านพัก ในพื้นที่ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ตามหมายค้น ของศาลจังหวัดทองผาภูมิ ที่ ค 18 ลงวันที่ 26 มี.ค. 2567 จากการตรวจค้น พบ พยานหลักฐานและบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคดี พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีที่เกี่ยวข้องกว่า 3,000,000 บาท

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปคม. จะดำเนินการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือและเร่งรัดรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายจับผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัยแก่พี่น้องประชาชนทั่วไป ดังนี้

1. ฝากเตือนผู้ที่คิดว่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องในขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ มีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการดังกล่าวที่เกี่ยวข้อง และจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกราย เพื่อตัดวงจรการลักลอบขนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย

​2. ฝากเตือนนายจ้างที่จะรับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ หนึ่งหมื่นถึงหนึ่งแสนบาท ต่อคนต่างด้าวหนึ่งคน หากทำผิดซ้ำมีโทษถึงจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับตั้งแต่ ห้าหมื่นถึงสองแสนบาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะหมั่นตรวจตรา เพื่อกวดขันจับกุมการลักลอบใช้แรงงานผิดกฎหมาย และจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกราย