ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบโดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบนครบาลได้ตรวจสอบพบว่ามีคนร้ายเฟซบุ๊กโฆษณาการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยถูกเมื่อกดลิงก์ไปแล้วระบบจะเชื่อมไปยังบัญชีผู้ใช้ไลน์ชื่อ ‘Sam KTB 5 PLUS” ใช้รูปโปรไฟล์เป็นผู้ชายสวมใส่เสื้อยืดคอกลมสีฟ้าอ้างตัวเองว่าเป็นฝ่ายสินเชื่อและบัญชีผู้ใช้ไลน์ดังกล่าวได้แจ้งอนุสัญญาวงเงินกู้มาให้ และส่งลิงก์ให้เข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวและส่งเอกสารส่วนตัวไปให้ซึ่งเป็นลิงก์ ผู้เสียหายเสียค่าดำเนินการ ไม่ได้เงินกู้ และไม่ได้ค่าดำเนินการคืน
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี , พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก.สส.ฯ, พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ และ พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3ฯ และ พ.ต.ท.รณฤทธิ์ กิตติมาศ สว.กก.สส.3ฯ ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.ปิ่น มหถาวร รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น (ชุดปฏิบัติการที่ 3/4 ) เจ้าหน้าที่สืบนครบาลจับกุมตัวนางสาวศุภิสรา อายุ 25 ปี จับกุมตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1183/2567 ลง 21 มีนาคม 2567 (สน.นางเลิ้ง) ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” จับกุมได้ที่ บริเวณด้านหน้าบริษัท ตำบลไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
พฤติการณ์แห่งคดี ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 2 ม.ค.2567 ผู้เสียหายซึ่งสนใจกู้เงินเพื่อสำหรับนำมาใช้สำหรับจ่ายค่ามหาวิทยาลัยให้กับบุตร ได้เล่นเฟซบุ๊กแล้วได้เห็นโฆษณาการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยถูก โพสต์ไว้ เมื่อกดลิงก์ไปแล้วระบบจะเชื่อมไปยังบัญชีผู้ใช้ไลน์ชื่อ ‘Sam KTB 5 PLUS” ใช้รูปโปรไฟล์เป็นผู้ชายสวมใส่เสื้อยืดคอกลมสีฟ้า ผู้เสียหายจึงได้กดเพิ่มเพื่อนบัญชีผู้โช้ไลน์ดังกล่าวเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการกู้เงิน ซึ่งทางบัญชีไลน์ดังกล่าวได้อ้างตัวเองว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อและบัญชีผู้ใช้ไลน์ดังกล่าวได้แจ้งอนุสัญญาวงเงินกู้มาให้ และส่งลิงก์มาให้กับผู้เสียหายเพื่อให้เข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวและส่งเอกสารส่วนตัวไปให้ซึ่งเป็นลิงก์ ผู้เสียหายได้ดำเนินการกรอกข้อมูลส่วนตัวและส่งเอกสารส่วนตัวไปในระบบ จากนั้นได้มียอดเงินที่ผู้เสียหายประสงค์จะทำการกู้เข้ามาในระบบของลิงก์ดังกล่าว จำนวน 100,000 บาท ซึ่งจากนั้นผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหาย โอนเงินค่าดำเนินการต่างๆไปตามบัญชีที่ผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าวส่งมาให้ โดยอ้างว่าเป็นการโอนเงินค่าดำเนินการต่างๆ ซึ่งยอดเงินที่โอนเข้าไปจะไปรวมอยู่ในระบบกับยอดเงินที่จะกู้นอกจากนั้นผู้ใช้บัญชีไลน์ดังกล่าวยังให้ผู้เสียหายโอนเงินเพื่อแก้ไขระบบต่างๆโดยอ้างว่าระบบล็อคไม่สามารถถอนเงินกู้ออกจากระบบได้ เนื่องจากผู้เสียหายให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ซึ่งสุดท้ายเมื่อโอนเงินค่าดำเนินการแก้ไขระบบต่างๆไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้อยู่ดี ซึ่งเมื่อผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินได้ บัญชีไลน์ดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหาย”ติดต่อไปยังผู้ใช้บัญชีไลน์อีกคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายระบบเพื่อขอรับรหัส OTP เป็นผู้ใช้บัญชีไลน์ชื่อว่า “เจ้าหน้าที่ KTB” รูปโปรไฟล์เป็นผู้ชายสวมใส่สูทผูกเน็คไทอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายระบบส่วนกลาง โดยผู้ใช้ไลน์ดังกล่าวได้ให้รหัส OTP มาให้ ซึ่งหลังจากใส่รหัสแล้วระบบก็แจ้งว่ากดรหัสผิด ซึ่งผู้ใช้ไลน์ดังกล่าวให้ดำเนินการโอนเงินเพื่อดำเนินการขอรหัสใหม่ โดยต้องโอนเงินเข้าไปในระบบอีก เพื่อดำเนินการแก้ไขระบบอีกครั้ง โดยได้โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารต่างๆเพื่อเป็นค่าดำเนินการแก้ไขระบบ เพื่อให้ถอนเงินออกจากระบบได้ แต่เมื่อโอนเงินไป ก็ยังไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้อยู่ดีโดยผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหาย โอนเงินค่าดำเนินการไปยังบัญชีต่างๆ รวมทั้งของผู้ถูกจับด้วย ไปทั้งสิ้น 300,000 บาท ซึ่งหลังจากที่โอนเงินค่าดำเนินการต่างๆไปแล้วก็ไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้จริง ซึ่งผุ้เสียหายไม่ได้รับเงินกู้มาจริงแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนน่าจะถูกหลอกลวง เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย
พล.ต.ต.ธีรเดช ให้สืบสวนติดตามคนร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผ่านการหลอกลวงทุกประเภท ขอให้ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ และสำหรับผู้ที่ขายบัญชีธนาคารนั้น ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ระบุว่า เจ้าของบัญชีม้า หรือเบอร์ม้า ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร.