ตามนโยบาย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.1 บก.สอท. 5 เร่งรัดปราบปรามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว เพื่อลดความเดือดร้อนให้กับประชาขนจากการสูญเสียทรัพย์สินและตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ตำรวจไซเบอร์ปฏิบัติการทลายขบวนการอ้างการไฟฟ้า หลอกติดตั้งแอปดูดเงินผู้เสียหายหมดบัญชีและตามรวบนายหน้าพา “ม้า” ข้ามแดนสแกนหน้า หลอกคนไทย และติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่อยู่ในประเทศได้ 5 รายแล้วนั้น
ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.1 บก.สอท.5 นำโดย พ.ต.ต.สุธี บุดดีคำ ร.ต.อ.ขวัญชัย ปานคง พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ กก.1 บก.สอท.5 ได้สืบสวนทราบว่า นายศุภฤทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 24 ปี สาวประเภทสอง ชาวกรุงเทพฯ เดินทางกลับจากปอยเปต ผ่านด่าน ตม.สระแก้ว จึงได้วางแผนกันร่วมจับกุมตัวผู้ต้องหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน, ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน, ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบและเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และเป็นการกระทำเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นใดแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสด”นำส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสอบปากคำนายศุภฤทธิ์ฯ ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นบุคคลตามหมายจับในคดีนี้จริง และเคยทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต โดยทำมาแล้ว 1 ปี เคยหลอกได้เงินมากสุดกว่า 1 ล้าน ได้เงินค่าส่วนแบ่ง 5-10% ต่อครั้ง รวมทั้งหมดกว่า 5 แสนบาท ตนเป็นตัวหลอกสายที่ 1 ทำหน้าที่ท่องบทสนทนาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานต่างๆที่แอบอ้าง และจะเปลี่ยนหน่วยงานไปตามสถานการณ์นั้นๆ เมื่อติดต่อแล้วมีเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะส่งต่อเหยื่อไปยังสายที่สอง ที่สาม เพื่อหลอกเงินจากตามขั้นตอนที่แบ่งหน้าที่ไว้ ทั้งนี้ผู้ต้องหาได้ฝากเตือนไปยังญาติพี่น้องและคนไทย อย่าหลงเชื่อกดลิงก์ แอดไลน์ หรือโอนเงินให้มิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ตรวจสอบไปยังต้นสังกัดหรือหาเบอร์โทรหน่วยงานจากแหน่งที่เชื่อถือได้ และดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นจาก App Store หรือ Play Store เท่านั้น
พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ ผบก.สอท.5 ได้ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนว่า การขายบัญชีม้า หรือซิมม้ามีความผิดตาม พ.ร.ก.การมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงผู้ที่เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอกนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-500,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ