“รองโจ๊ก“ เตรียมเสนอปรับพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง ที่ใช้มากกว่า 40 ปี ยอมรับความล้าหลังส่งผลต่อการดำเนินการ เผยสองปีที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้อนุมัติโครงการพัฒนา การตรวจคนเข้าเมืองส่งผลต่อการรองรับนักท่องเที่ยว
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปตรวจการลงตราของตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยมีผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิร่วมตรวจสอบปัญหาการแออัดของนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าด่านตรวจ
โดยที่ผ่านมาพบว่านอกจาก เทคโนโลยีจะเกิดปัญหาเป็นระยะจนส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวมายืนรอเป็นจำนวนมาก ยังพบว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้อนุมัติงบประมาณในการจัดทำแอพพลิเคชั่นทั้งระบบเพื่อทำให้การ ขออยู่ต่อมีความ สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะต่อนักท่องเที่ยวและตั๋วเจ้าหน้าที่ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยอมรับด้วยว่า หากไม่เร่งปรับปรุงแก้ไขอาจส่งผลกระทบต่อการ เปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคมนี้
ทั้งนี้ได้สั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเร่งเพิ่มจำนวนคนอีก 200 อัตรา เข้ามาสนับสนุนการทำงานโดยให้มีการจัดการเรื่องสวัสดิการของเจ้าหน้าที่ ควบคู่ไปด้วย ระหว่างที่ต้องรอเทคโนโลยีซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาปรับปรุงให้มีความทันสมัย “เมื่อเทคโนโลยีไม่เอื้ออำนวย หรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็ต้องใช้กำลังพลไปก่อน ใช้กำลังพลให้เต็มที่ เต็มช่องตรวจ และในส่วนของขาเข้า ขาออก ก็ต้องใช้นายตำรวจ ระดับ รอง สว. และ สว. มาแก้ไขปัญหาหน้างาน” ทั้งนี้ยอมรับเลยว่าแม้จะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาแล้วแต่หากยังขาดความชำนาญ ก็ยังจะส่งผลกระทบต่อไปอีกซักระยะ เพราะงานตรวจลงตราเป็นงานที่ต้องมีความชำนาญในการตรวจสอบหนังสือเดินทาง
นอกจากเครื่องไม้เครื่องมือแล้วสิ่งที่ต้องเร่งปรับปรุงและนำเสนอเป็นลำดับต่อไปก็คือเรื่องของการแก้ไขข้อกฎหมายพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกว่า ใช้มากกว่า 40 ปีแล้วเป็น กฎหมายที่ไม่ทันสมัยและไม่เป็นปัจจุบันจึงไม่สอดคล้องกับงานที่ทำและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้จะต้องมีการนำเสนอและเร่งพิจารณา ให้สอดรับกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและเปิดรับการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล