“รองโจ๊ก” ร่วมเป็นวิทยากรโครงการสัมมนาบูรณาการปราบปรามน้ำมันเถื่อนที่จังหวัดระยอง

วันนี้ (28 ส.ค.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) ได้เข้าร่วมเป็นวิทยากร ในโครงการสัมมนาบูรณาการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ณ โรงแรมระยอง แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมสรรพสามิต โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากหลายหน่วยงานอาทิ กรมสรรพสามิต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมธุรกิจพลังงาน กองทัพเรือ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และศรชล รวมทั้งสิ้นจำนวน 92 คน

ในการสัมมนาครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้บรรยายในหัวข้อ สถิติและแนวโน้มการกระทำผิดในคดีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อน ซึ่งที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะ ผอ.ศปนม.ตร. ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการปราบปรามและจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งและจำหน่ายน้ำมันเถื่อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนนี้ สร้างความเสียหายให้กับประเทศจากการสูญเสียรายได้จากภาษีน้ำมันมากถึงหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งผู้กระทำผิดได้อาศัยช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันที่ต่างกันของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในการลักลอบนำเอาน้ำมันจากต่างประเทศมาจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ในปีที่ผ่านมา ศปนม.ตร.ได้มีการจับกุมดำเนินคดีเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนมากถึง 2,993 คดี เพิ่มขึ้นจากปี 65 ร้อยละ 6.85 ตรวจยึดน้ำมันเถื่อนของกลางได้มากถึง 29,785,409 ลิตร ดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับเป็นจำนวนเงิน 58.5 ล้านบาท มากขึ้นถึงร้อยละ 156.88 ซึ่งปัจจุบันผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มักจะลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนในทางบกและทางทะเล ซึ่งการป้องกันปราบปรามนั้น จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีโอกาสมาบรรยายแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เข้าร่วมการสัมมนาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ปัจจุบันปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนยังเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในการบริหารประเทศหลักหลายร้อยล้านบาทต่อปี ปีที่ผ่านมา ศปนม.ตร. ได้ปฏิบัติการจับกุมความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนได้จำนวนมาก สถิติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนทั้งจำนวนคดี ปริมาณน้ำมันที่ตรวจยึดได้ และการดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับ ดังนั้นการปราบปรามความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนนั้น จึงต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด การสัมมนาในครั้งนี้จึงเกิดประโยชน์อย่างมาก จากการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ และการสร้างเครือข่ายของผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประสานงานในการปราบปรามน้ำมันเถื่อนต่อไป