“รองโจ๊ก” ประชุมติดตามความคืบหน้าคดี ‘กระทำชำเราเด็ก-สวมบัตรประชาชน’ พื้นที่ ภ.จว.เชียงใหม่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีน่าสนใจ พื้นที่ ภ.จว.เชียงใหม่ ‘กระทำชำเราเด็ก-สวมบัตรประชาชน

ในช่วงปลายปี 65 นั้น ในพื้นที่ ภ.จว.เชียงใหม่ ได้พบอาชญากรรมที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจจำนวน 2 คดี ได้แก่ คดีการหลอกลวงเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีไปกระทำชำเรา ในพื้นที่ สภ.กัลยาณิวัฒนา และคดีบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชน ในพื้นที่ สภ.เชียงดาว ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

ทั้งสองกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดให้ได้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ TICAC เจ้าหน้าที่สืบสวน ร่วมกับ ภ.5 และ ภ.จว.เชียงใหม่ สืบสวนขยายผลทั้งสองเคส ซึ่งมีความคืบหน้าล่าสุด ดังนี้

กรณีที่ 1 คดีหลอกลวงเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีไปกระทำชำเรา พื้นที่ สภ.กัลยาณิวัฒนา

จากกรณีช่วงระหว่างเดือนส.ค. – ธ.ค.65 ที่ผ่านมา ได้มีการเข้าช่วยเหลือเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงไปบังคับกระทำชำเรา เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.กัลยาณิวัฒนา ภ.จว.เชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วยเหลือเด็กได้จำนวน 5 ราย โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ TICAC ร่วมกับ ภ.5 และ ภ.จว.เชียงใหม่ เร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด เจ้าหน้าที่สืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้จำนวน 9 คดี ผู้ต้องหาทั้งสิ้น 25 ราย มีรายละเอียดดังนี้

คดีที่ 1 ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิง 2 ราย ถูกเพื่อนผู้หญิง 2 คน ล่อลวงไปที่ร้านขายน้ำปั่นให้เพื่อนชาย 2 คน กระทำชำเรา ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 4 ราย จับกุมได้ทั้ง 4 ราย

คดีที่ 2 และ 3 ผู้เสียหายเป็นหญิง 2 คน ถูกหลอกให้ไปชงเหล้าในห้องพักชั่วคราว ถูกผู้ต้องหาบังคับกระทำชำเรา ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 2 ราย จับกุมได้ทั้ง 2 ราย (ซ้ำกับคดีแรก 1 ราย)

คดีที่ 4 – 9 รวม 6 คดี ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิง 1 ราย ถูกล่อลวงให้ไปกระทำชำเรากับผู้ต้องหาหลายคน จำนวน 6 ครั้ง ตามสถานที่ต่างๆ บางครั้งได้รับค่าตอบแทน ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 20 ราย จับกุมได้ทั้งหมด 19 ราย ออกหมายจับผู้หลบหนี 1 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุม

โดยสำนวนคดีทั้งหมดดำเนินการสรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาทั้งหมดให้กับพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องคดีต่อไป

กรณีที่ 2 บุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชน พื้นที่ สภ.เชียงดาว

สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 30 ต.ค.65 ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายชาวจีนถูกอุ้มเรียกค่าไถ่และถูกตัดนิ้ว ทราบชื่อคือ นายเหริน ไห่ป๋อ เหตุเกิดพื้นที่ สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี โดยมี น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ แฟนของนายเหรินเข้าแจ้งความกับตำรวจ แต่ต่อมาระหว่างการสืบสวน เจ้าหน้าที่ได้สังเกตความผิดปกติเกี่ยวกับข้อมูลของ น.ส.อริสราฯ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบิดามารดาของ น.ส.อริสราฯ จึงได้นำเรียนผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ดำเนินการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

จากการสืบสวนทราบว่า ก่อนสวมบัตรประชาชนดังกล่าว น.ส.อริสราฯ มีชื่อว่า น.ส.หย่งฮุ้ย แซ่ฉี่ เป็นบุคคลไม่มีสัญชาติ (บัตรขาว) ต่อมาได้มีการพูดคุยกับนายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอเชียงดาว เพื่อจะขอสวมเลขบัตรประชาชน นายเพิ่มเกียรติฯ จึงได้แนะนำให้พูดคุยกับนายอาเบฯ ซึ่งเป็นกำนัน สามารถประสานหาเลขบัตรประชาชนให้ได้ ต่อมานายอาเบฯ ได้คุยกับนายสมศักดิ์ฯ(พยาน) เพื่อให้ช่วยหาชื่อหญิงไทยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวทางทะเบียน และมีอายุใกล้เคียงกับ น.ส.หย่งฮุ้ย ซึ่งนายสมศักดิ์จึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังนายสุลอย ซึ่งเป็นอดีตกำนัน ซึ่งสามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ นายสุลอยจึงได้ประสานไปยัง นายธวัช ผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยหาข้อมูลให้ นายธวัชประสาน นายกรวุฒิ ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่ง ซึ่งนายกรวุฒิพบว่า มีรายชื่อ ด.ญ.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายวาเซฯ เสียชีวิตตั้งแต่อายุ 2 ขวบ แต่สถานะทางทะเบียนยังไม่มีการจำหน่ายออก จึงได้ประสานนายวาเซฯ เพื่อขอใช้ชื่อดังกล่าว เมื่อได้ชื่อแล้ว นายเพิ่มเกียรติฯ จึงได้ดำเนินการออกบัตรให้ โดยให้นายอมรเทพฯ ผู้ใหญ่บ้าน ลูกน้องของนายเพิ่มเกียรติฯ ช่วยดำเนินการกรอกคำขอมีบัตรให้ หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว นายเหรินฯ ได้มีการโอนเงินค่าดำเนินการโดยแบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกโอนให้บัญชีนายอาซาผะ (พยาน) จำนวน 250,000 บาท ซึ่งปลัดได้ขอยืมบัญชีดังกล่าวใช้รับโอนเงิน แล้วให้นายอาซาผะถอนเงินออกมาให้ อีกครั้งหนึ่งโอนเงินจำนวน 480,000 บาท ให้กับบัญชีของภรรยานายอาเบ โดยนายอาเบได้เก็บไว้ให้ตนเอง 240,000 บาท และได้โอนให้ผู้เกี่ยวข้องที่เหลือทั้งหมดอีก 240,000 บาท

จากข้อมูลดังกล่าวทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย จับกุมแล้วจำนวน 7 ราย ยังหลบหนี 2 ราย ประกอบด้วย

          1. นายเหริน ไห่ป๋อ สัญชาติจีน เป็นผู้จ่ายเงินค่าดำเนินการในการสวมบัตร

          2. น.ส.หย่งฮุ้ย แซ่ฉี่ หรือ น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ ผู้สวมบัตรประชาชน

          3. นายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอเชียงดาว ผู้ดำเนินการออกบัตร

          4. นายอาเบ แซ่ลี่ กำนัน ผู้หาช่องทางการสวมบัตร

          5. นายสุลอย สุวรรณวงศ์ อดีตกำนัน ผู้หาข้อมูลบุคคลเพื่อนำไปสวมบัตร

          6. นายธวัช นาควนากร ผู้ใหญ่บ้าน ผู้หาข้อมูลบุคคลเพื่อนำไปสวมบัตร

          7. นายกรวุฒิ เกาะเจริญสุข ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ติดต่อข้อมูลบุคคลจากนายวาเซฯ (หลบหนี)

          8. นายอมรเทพ ปุกคำ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้กรอกข้อมูลคำขอมีบัตรให้ผู้สวมบัตร

          9. นายวาเซ คล่องดารณี บิดาของ น.ส.อริสราฯ เป็นผู้ยินยอมให้สวมบัตรบุตรสาวของตนเอง (หลบหนี)

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของ ภ.จว.เชียงใหม่ โดยในคดีหลอกลวงเด็กหญิงไปล่วงละเมิดทางเพศของ สภ.กัลยาณิวัฒนา ได้ดำเนินการขยายผลจนทราบตัวผู้กระทำความผิดทั้งหมดแล้วจำนวนทั้งหมด 25 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้แล้ว 24 ราย ยังเหลือหลบหนีอีก 1 ราย อยู่ระหว่างติดตามตัว ในส่วนของสำนวนการสอบสวนก็ได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องทั้งหมด พร้อมส่งสำนวนและตัวผู้ต้องหาให้อัยการพิจารณาต่อไป และอีกคดีหนึ่งของ สภ.เชียงดาว ในเรื่องการสวมบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่สืบสวนได้สืบทราบตัวละครทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งร่วมกันกระทำความผิดกันเป็นเครือข่าย โดยมีผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย จับกุมแล้ว 7 ราย ยังเหลือหลบหนีอีก 2 ราย อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี ในส่วนของการสอบสวนได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องเสนอพนักงานอัยการเรียบร้อยแล้ว เชื่อมั่นว่าทั้งสองคดีซึ่งได้ดำเนินการสืบสวนอย่างเต็มที่แล้วนั้น จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามพยานหลักฐานได้ทั้งหมด