แถลงจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ รวมของกลางยากว่า 268,000 เม็ด

ตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งระบบด้วยการสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์ความเชื่อมโยงเครือข่ายของนักค้ายาเสพติด อย่างรู้เท่าทัน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในนาม ศอ.ปส.ตร. จึงได้สั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลจากกรณีจับกุมยาเสพติดรายสำคัญทุกราย รวมถึงวิเคราะห์ความเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มผู้ผลิต นำเข้า ผู้ลำเลียง ผู้จัดเก็บ ผู้จำหน่าย และสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติด รวมไปถึงสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาเสพติดจากแนวชายแดนเข้ามาถึงพื้นที่ตอนใน โดยให้บูรณาการความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตำรวจภูธรภาค 1 โดย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1,พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.พีระพงศ์ วงษ์สมาน รอง ผบช.ภ.1, บก.สส.ภ.1 นำโดย พล.ต.ต.อภิชาติ วรรณภักดิ์ผบก.สส.ภ.1,พ.ต.อ.วรชาติ แสนคำ รอง ผบก.สส.ภ.1,พ.ต.อ.ชินโชติ วัฒนธนานพ ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1,พ.ต.อ.อาสาฬห์ ถมยา ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.1 พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.1,พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1,พ.ต.ท.กิตติพงษ์ กิจเก้าเจริญกุล รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน บก.สส.ภ.1

ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย ดังต่อไปนี้

1.นายชานนท์ อายุ 41 ปี ที่อยู่ 21/ช หมู่ที่ 5 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

2.น.ส.น้อย อายุ 38 ปี ที่อยู่ 51/25 หมู่ที่ 6 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

สถานที่จับกุม บริเวณริมถนนสาธารณะภายในซอย คลองสาม 5/11 ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

ข้อกล่าวหา “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเป็นการกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”

พร้อมด้วยของกลางจำนวน 7 รายการ

1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ลักษณะเม็ดสีแดงและสีเขียว กลมแบน ด้านหนึ่งเรียบ ด้านหนึ่งมี เครื่องหมาย”WY” บรรจุอยู่ในกระดาษสีเหลือง ประทับตรา Y-1 สีน้ำเงิน จำนวน 86 มัด มัดละประมาณ 2000 เม็ด รวม ยาบ้าประมาณ 172,000 เม็ด เอกสารประชาสัมพันธ์ ตำรวจภูธรภาค 1 29/3 หมู่ 2 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0-2537-8686 โทรสาร. 0-2936-2725 www.p1.Police.go.th

2.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ลักษณะเม็ดสีส้มและสีเขียว กลมแบน ด้านหนึ่งเรียบ ด้านหนึ่งมี เครื่องหมาย”WY” บรรจุอยู่ในกระดาษสีขาว ประทับตรา 999 สีน้ำเงิน จำนวน 48 มัด มัดละประมาณ 2000 เม็ด รวมยาบ้า ประมาณ 96,000 เม็ด รวมยาเสพติดทั้งสิ้นประมาณ 268,000 เม็ด

3.รถยนต์ ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น HILUX REVO สีดำ หมายเลขทะเบียน ผข – 7921 สุพรรณบุรีหมายเลขตัวรถ MR0CB8CCX00358901 จำนวน 1 คัน

4.รถยนต์ ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น HILUX VIGO สีเทา หมายเลขทะเบียน บษ – 5585 เชียงราย หมายเลขตัวรถ MR0GZ19G40632698 จำนวน 1 คัน

5.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ NOKIA สีขาว-ฟ้า เบอร์ 062-2239621 ระบบ AIS หมายเลข IMEI1 : 355908050225445 หมายเลข IMEI2 : 355908050225452

6.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ VIVO รุ่น Y33s สีฟ้า เบอร์ซิม1 081-4353429 ระบบ DTAC เบอร์ซิม2 098-6072996 ระบบ AIS หมายเลข IMEI1 : 866591053673290 หมายเลข IMEI2 : 866591053973282

7. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ SUMSUNG รุ่น S22 Ultra สีชมพู เบอร์ซิม1 062-3950371 ระบบ AIS เบอร์ซิม2 081-2516471 ระบบ AIS หมายเลข IMEI1 : 351801420177392 หมายเลข IMEI2 : 353664150177398

พฤติการณ์กล่าวคือด้วยเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวน บก.สส.ภ.1 ได้ทำการสืบสวนทราบว่ามีกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบขนยาเสพติดจากภาคเหนือนำยาเสพติดเข้ามาจำหน่ายในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 1 เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวน บก.สส.ภ.1 จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้นและได้ทำการสืบสวนข้อมูลเพื่อทำการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดนั้นต่อไป

ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2566 เวลาประมาณ 12.40 น. หลังจากสืบทราบพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น จึงได้วางแผนเข้าทำการจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าว และสามารถทำการจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 2 คน พร้อมด้วยทำการตรวจยึดของกลางได้จำนวน 7 รายการ

ทั้งนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ประชาชนทั่วไป และเพื่อเป็นแนวทางการป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติด ทั้งนี้ทางตำรวจภูธรภาค 1 จะดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมเครือข่ายยาเสพติดที่กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว โดยใช้มาตราการลงโทษทางกฎหมายในฐานความผิดขั้นสูงสุด และจะขยายผลดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งได้มาจากการกระทำความผิด เพื่อเป็นแบบอย่างมิให้เกิดการกระกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกและเป็นมาตราการปราบปรามขึ้นเด็ดขาดต่อไป