วันนี้ (25 ม.ค. 66) พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว มอบหมายให้ พล.ต.ต. อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการฯ ชี้แจงความคืบหน้ากรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนเผยแพร่คลิปในลักษณะที่มีตำรวจจำนวนหนึ่งร่วมกันอำนวยความดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติในสนามบินและใช้ยานพาหนะตำรวจนำทางไปจนถึงโรงแรมที่พักนั้น
พล.ต.ต.อภิชาติฯ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง 8 ข้อต่อสังคมไปแล้ว เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2566 นั้น ทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องราวและกระแสข่าวที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ จึงอยากนำเรียนความคืบหน้า พร้อมตอบคำถามในประเด็นที่สังคมยังเคลือบแคลงสงสัยจากกรณีดังกล่าวไปยังสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนเพิ่มเติม ดังนี้
1. สืบเนื่องจากที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการเรียกสอบนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว ทางกองบัญชาการฯ ขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่านักท่องเที่ยวสาวรายนี้ได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว อีกทั้งเรื่องดังกล่าว ณ จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ถึงขั้นเป็นคดีอาญา แต่หากสืบสวนเพิ่มเติมแล้วพบว่ามีความจำเป็นถึงขึ้นเป็นคดีอาญาขึ้นมาจริงๆ และมีความจำเป็นต้องขอข้อมูลจากนักท่องเที่ยวรายนี้ ก็สามารถขอความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศได้ ซึ่งทางกองบัญชาการฯ จะใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบที่สุด เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบกระเทือนภาพลักษณ์และบรรยากาศการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี
2. จากประเด็นที่มีการพูดถึงกันในสื่อทั่วไปว่าประเทศจีนมีการโพสต์ขายบริการพิเศษในการมาเที่ยวประเทศไทย เรื่องนี้ทางกองบัญชาการฯ ขอยืนยันว่า นับตั้งแต่วันนี้ไป จะร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินการสืบสวนหาข้อมูลอย่างจริงจัง ว่ามีกลุ่มบุคคล บริษัทห้างร้าน เว็บไซด์ หรือข้าราชการหน่วยใด สังกัดใด เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง หากพบการกระทำความผิดจริง กองบัญชาการฯ จะรวบรวมข้อมูลดำเนินการอย่างเด็ดขาด จริงจัง และไม่มีการละเว้นอย่างแน่นอน และขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณเบาะแสข้อมูลจากพี่น้องประชาชนในทุกช่องทางที่นำเสนอมาให้ ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้การท่องเที่ยวไทยโปร่งใสและมีความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น
3. ในส่วนของความคืบหน้าการสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นพบว่ามีข้าราชการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง 2 นาย คือ รองสารวัตร กองกำกับการ 3 (รับผิดชอบสนามบินสุวรรณภูมิ) และ ผบ.หมู่ สังกัดกองกำกับการเดียวกัน โดยทั้งสองคนสังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 โดยกองบัญชาการฯ ขอแยกกรณีที่เกิดขึ้นในคลิปดังกล่าวออกเป็น 2 ประเด็น กล่าวคือ ประเด็นที่ 1 คือ การอำนวยความสะดวกช่องทางพิเศษภายในสนามบิน และประเด็นที่ 2 คือขบวนรถนำที่พานักท่องเที่ยวไปส่งยังโรงแรมที่พัก ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจะขอชี้แจงเพียงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการในสังกัดเท่านั้น คือประเด็นที่ 1 เรื่องการอำนวยความสะดวกช่องทางพิเศษภายในสนามบิน ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ผบ.หมู่ ยศ ดาบตำรวจได้รับการประสานงานมาจากเพื่อนชาวจีนรายหนึ่ง และเนื่องจากวันดังกล่าวตนเองไม่ว่าง จึงไหว้วาน รองสารวัตรผู้ที่ปรากฎในคลิป ให้มาดำเนินการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวแทน อย่างไรก็ตามหากการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นเรียบร้อย จะชี้แจงผ่านสื่อมวลชนอีกครั้ง
4. เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มค 2566 ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดการประชุมระดับบริหาร และมีการทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทุกมิติ และขอยืนยันว่านับจากนี้ต่อไป จะยังคงดูแลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวต่อไปตามอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่จะเป็นการดูแลอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อให้เกิดบรรยากาศการท่องเที่ยวที่อบอุ่น อันจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ประเทศ อีกทั้งสั่งการให้หัวหน้าสถานีเพิ่มกำชับ ตรวจสอบข้าราชการในสังกัดมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
5. ขอชี้แจงเพิ่มเติมใน 2 ประเด็นที่สื่อนำเสนอไปแล้วอาจทำให้สังคมและพี่น้องประชาชนบางท่านอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ได้แก่ ประเด็นที่ 1 เรื่องการแต่งกายชุดตำรวจนอกเวลาราชการ ขอยืนยันว่าแม้จะอยู่นอกเวลาเข้าเวร หรือนอกเวลาราชการ ก็สามารถแต่งเครื่องแบบได้ ซึ่งไม่ถือเป็นความผิดวินัยแต่อย่างใด แต่ต้องดูว่า ตำรวจที่แต่งเครื่องแบบในขณะนั้นทำอะไรอยู่ และประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร หากปฏิบัติตนไม่ถูกต้องเหมาะสม ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบก็ถือว่ามีความผิด และประเด็นที่ 2 การดัดแปลงรถส่วนตัวให้คล้ายรถตำรวจเพื่อนำไปแสวงหาผลประโยชน์นั้น ในประเด็นนี้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวไม่ได้ชี้แจงอธิบายเพราะรถนำที่ปรากฏในคลิปดังกล่าวไม่ใช่รถยนต์ในสังกัดของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว
6. กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวขอถือโอกาสนี้นำเรียนว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ภายใต้นโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาด้วย จึงขออธิบาย การบังคับใช้กฎหมายในฐานะข้าราชการตำรวจนั้นต้องสร้างสมดุลกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักแกล่งหนึ่งของประเทศด้วย ซึ่งขอยืนยันว่า เราจะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งและในขณะเดียวกันก็จะจรรโลงไว้ซึ่งบรรยากาศการท่องเที่ยวของไทยให้สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การท่องไทยเป็น top of mind ของโลกต่อไป