จากกรณีเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.65 กลุ่มชาวบ้านและนักเรียนบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ได้รวมตัวกันประท้วงกลุ่มนายทุน เนื่องจากได้สร้างประตูปิดทางและนำสิ่งของมาวางขวางกั้นทางสัญจรซึ่งนักเรียนและชาวบ้านใช้ในการเดินทางเข้าออกโรงเรียนและสถานที่สำคัญหลายแห่งภายในเกาะ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวบนเกาะในวงกว้าง ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบปัญหา ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นประธานกรรมการ ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วย อาทิเช่น กรมที่ดิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมทรัพยาการทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นต้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร่งด่วน
วันนี้ (22 ม.ค.66) ช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, นายไกรศรี สว่างศรี ผอ.ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ, นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ไปยังโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เพื่อเข้ารับฟังปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีชาวบ้านและนักเรียนเข้าร่วมให้ข้อมูลกว่า 200 คน เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายและตรวจสอบพื้นที่จริง เพื่อให้สามารถพิจารณาปัญหาได้อย่างครบถ้วนและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างจริงจัง และรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีการบุกรุกพื้นที่อุทยานจำนวน 4 แปลง พื้นที่ประมาณ 80 ไร่ ของกลุ่มเอกชนจริง โดยจะมีการใช้เครื่องมือพิเศษในการตรวจวัดยืนยันอีกครั้ง หากพบความผิดจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด ในส่วนของพื้นที่ 60 ไร่ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วนั้น จะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการ จึงได้บินลงมาดูพื้นที่และต้องการรับฟังข้อเท็จจริงจากประชาชนในพื้นที่ จากการที่ได้พบปะพูดคุย รับฟังข้อเท็จจริงและปัญหาความเดือดร้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนชาวเลในวันนี้ รวมทั้งได้ดูพื้นที่พิพาทร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พบว่ามีการบุกรุกพื้นที่อุทยานจริง เบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับกลุ่มเอกชนแล้ว โดยหลังจากนี้ในฐานะประธานกรรมการ จะเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดำเนินการหาทางออกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ให้ได้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขต่อไป