วันที่ 6 ม.ค.66 ที่ บก.ปปป. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก. ปปป. กล่าวว่า ทางพงส.บก.ปปป. ได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมด 14 ปาก อีก 3 เป็นผู้เดือนร้อน 14 ปากนั้นได้เร่งรัดในการสอบสวน ทำให้เป็นรูปคดี จาก 21 ซอง มี 14 ซอง ที่สอบสวนไปแล้ว มียื่นยันพยานแล้วบ้างส่วนว่าในวันที่ 11 มกราคม 2566 จากพยาน เรื่องการให้การนั้นส่วนใหญ่นั้นให้การเป็นเสียงเดียวกัน ในส่วนของการพบพยาน ส่วนใหญ่ไม่ได้เต็มใจในการยื่นซองให้ ส่วนของซอง 98,000 บาทนั้นต้องดูแยกกันไปว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ใน 14 คน นั้นเป็นหัวหน้าย่อยอีกทีหนึ่ง
เบื้องต้นที่เราเรียกมาเป็นพยานเราบังคับไม่ได้ แต่ถ้าไม่มาก็ให้ยื่นที่ ปปป. แทน แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้ยื่นอยู่ดี เพราะ หลักฐานแน่นหนา และจะพยายามดำเนินการให้รวดเร็วเรื่องของการให้ปากคำนั้นส่วนใหญ่มีประโยชน์เรื่องในการบังคับในการโยกย้ายของหน่วยงานนั้นมีความชัดเจน อยู่แล้วว่าไม่อยากย้ายถ้ายอมจ่ายเงิน แต่ต้องยอมเพราะ อยากอยู่ในที่แห่งกรมอุทยานแห่งนั้นต่อไป
ด้านพยานเดินเรื่องไปถึงไหนเขาก็จะดำเนินการให้เต็มที่ หน่วยอื่นๆ ก็มีการรับผลประโยชน์นี้มีแน่นนอน แต่ตอนนี้เรายังเจอเท่านี้อยู่ก็ดำเนินการแค่ในส่วนของอุทยานฯ เพียงเท่านี้ก่อน การปล่อยตัวชั่วคราวนั้น ถ้ามีการออกไปทำลายหลักฐานตอนนั้นก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถ้าทำก็ถือว่ามีความผิดในทันที ในตอนนี้เขายังปฏิเสธในให้การ แต่ไม่ว่าอย่างไรถ้าส่งสำนวนให้ปปช.กลางเดือนนี้
เวลาต่อมาหลังเข้าให้ปากคำตำรวจเสร็จ พยานจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี นายหนึ่งยอมรับว่า การเดินทางมาพบ พงส.เพื่อให้ข้อมูลครั้งนี้อาจมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานในอนาคต แต่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ จำเป็นต้องออกมาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องของการถูกตัดงบประมาณการดูแลป่าและสัตว์ป่า
ขณะที่ในส่วนของการทำงานมีความยากลำบากมากขึ้น ทั้งนี้ขอให้ประชาชนเข้าใจว่าคดีความที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับบุคลากรและหน่วยงานทั้งหมด ดังนั้นจึงอยากให้สังคมเข้าใจการทำงานของบุคลากรกรมอุทยานฯ เพราะที่ผ่านมาหลายคนมีปัญหาเรื่องหนี้สิน เนื่องจากงบประมานการดูแลสัตว์ป่าถูกตัดออกไปมากถึง 70% ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำเงินมาใช้ใน ในการปฎิบัติหน้าที่ และดูแลลูกน้อง
ขณะที่ในส่วนของการให้ปากคำ รายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ ขอให้เป็นไปตามกฏหมาย ส่วนรายละเอียดของคดีก็เป็นไปตามที่หัวหน้า ชัยวัฒน์ ส่วนกรณีที่มีข่าวลือว่า มีการข่มขู่พยานในคดี สำหรับตนเองนั้นยังไม่ได้รับการข่มขู่จากใครแต่อย่างใด และไม่มีการกดดันจากผู้ใหญ่ในกระทรวง ส่วนคนอื่นตนก็ไม่ทราบ ทั้งนี้ตนเองไม่ได้กลัวการถูกข่มขู่ แต่กลัวสิ่งที่เจ้าหน้าที่ปกป้องผืนป่ามาจะสูญเปล่า