ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามคนร้ายที่ก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยเฉพาะการลักทรัพย์ในเคหสถาน และ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กำชับให้มีมาตรการเฝ้าระวังบุคคลพ้นโทษที่เกี่ยวกับคดีลักทรัพย์ในเคหสถานอย่างใกล้ชิด จึงได้ร่วมสืบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.สมุทรสงคราม ท้องที่เกิดเหตุ จนทราบว่า นายสมชาย หรืออ่าง ผู้กระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน งัดเซฟ เคยงัดเซฟเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ย่านป้อมปราบศัตรูพ่าย ได้ทรัพย์สินไปกว่า 60 ล้านบาท เมื่อปี 51 แล้วล่าสุด โดนจับกุมคดีรับของโจร ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี พ้นโทษ มี.ค.63
โดยในคดีนี้ ผู้ต้องหาได้เข้าไปลักทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม จำนวน 3 หลัง ได้ทรัพย์สินไปหลายรายการมูลค่ากว่า 630,000 บาท และพยายามลักทรัพย์ อีก 1 หลัง แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ โดยก่อนการก่อเหตุ ผู้ต้องหาได้มีการตัดสายสัญญาณที่เชื่อมกับกล้องวงจรปิดภายในบ้านที่ก่อเหตุ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก
ต่อมาวันที่ 4 ม.ค. 66 เวลาประมาณ 21.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ,พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์ ,เจ้าหน้าที่ กก.สส.4 บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ศยาม อินทร์สุวรรณโณ ผกก.สภ.เมืองสมุทรสงคราม, พ.ต.ท.พีระพงษ์ จบศรี รอง ผกก.สส.ฯ และ พ.ต.ต.เอนก ขจีจิตร สว.สส.ฯ ร่วมสืบสวนติดตามจับกุมตัวนายสมชาย หรืออ่าง อายุ 53 ปี ที่อยู่ 37 ม.2 ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาพบหมายจับจำนวน 4 หมาย ประกอบด้วย
1. หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ จ.80/2565 ลงวันที่ 29 พ.ย.2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ ,โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม”
2. หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ จ.100/2565 ลงวันที่ 10 พ.ย.2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ ,โดยมีอาวุธหรือร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ,โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม”
3. หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ จ.112/2565 ลงวันที่ 23 ธ.ค.2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานโดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม”
4. หมายจับศาลจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ จ.113/2565 ลงวันที่ 23 ธ.ค.2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นฯ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม”
โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นฯ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุมตรวจยึดทรัพย์สินได้จำนวนหลายรายการ อาทิเช่น
1.ธนบัตรที่ระลึกและธนบัตรต่างประเทศ 31 ฉบับ
2.พระเครื่อง จำนวน 779 องค์
3.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง
โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่หน้าบ้านเช่าเลขที่ 8 ห้องเช่า 9 D ชั้น 5 ซอยเพชรเกษม 66/1 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร
ในชั้นจับกุมให้การรับสารภาพว่า ตนร่วมก่อเหตุดังกล่าวตามหมายจับจริง โดยตนเป็นเพียงผู้ช่วยในการขนย้ายทรัพย์สินเก็บเข้าในรถยนต์คันก่อเหตุ และอยู่ร่วมด้วยขณะทำการใช้แชลงงัดเซฟ หลังจากก่อเหตุ ได้รับส่วนแบ่งจากการยกเค้า เป็นเงิน จำนวน 20,000 บาท และ พระท้าวเวสสุวรรณ รุ่น1 ปี 2545 เนื้อตะกั่ว 2 องค์ ขายไป องค์ละ 7,000 บาท และ เนื้อทองแดง 2 องค์ ขายไปองค์ละ 11,000 บาท ให้ตามตลาดซื้อขายพระ สืบสวนนครบาลจึงนำตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสงคราม เพื่อส่งดำเนินการตามกฎหมาย และจะเร่งรัดขยายผลการจับกุมคนร้ายที่เหลือต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “แม้ว่าผู้ต้องหารายนี้จะรับว่าอยู่ในกลุ่มที่เข้าไปลักทรัพย์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่นิ่งนอนใจที่จะเฝ้าติดตามบุคคลที่มีพฤติกรรมลักทรัพย์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ก่อเหตุซ้ำได้อีก ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามคนร้ายที่ก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยทันที