จากกรณีเมื่อวันที่ 30 ต.ค.65 ที่ผ่านมา สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ ได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า นายเหริน ไฮ่ ป๋อ สัญชาติจีน ถูกกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน พาตัวออกไปจากบริเวณคอนโดซีตัส ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และเรียกค่าไถ่เป็นเงินคริปโต กว่า 1,000,000 USDT หรือประมาณ 35 ล้านบาท ก่อนที่ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ต.ค.65 นายเหรินสามารถหลบหนีออกมาจากที่กุมขังได้ และได้รับการช่วยเหลือจนพ้นอันตราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้ว นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ดำเนินการควบคุมสั่งการสืบสวนหาตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้มาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ สร้างความหวาดกลัวภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 และ พ.ต.อ.กุลชาต กุลชัย ผกก.สภ.เมืองพัทยา ให้เร่งสืบสวนติดตามทุกช่องทางเพื่อนำตัวผู้ก่อเหตุดังกล่าวมาดำเนินคดีให้ได้
พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 29 ต.ค.65 ก่อนเกิดเหตุ นายเหริน และเพื่อนๆ รวมทั้ง น.ส.อริสรา ได้มีนัดเจอและทานข้าวร่วมกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันในช่วงกลางคืน ต่อมาเวลาประมาณ 22.30 น. นายเหรินได้นั่งรถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ของนายเหริน ออกไปกับนายจาง เต๋อ หลง หรือต้าเต้า สัญชาติจีน โดยได้ส่งข้อความบอก น.ส.อริสราฯ ซึ่งเป็นแฟนว่า จะไปดื่มสุราด้วยกัน แต่ น.ส.อริสราฯ ไม่สามารถติดต่อได้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ต่อมาวันที่ 30 ต.ค.65 เวลา 10.00 น. ได้มีคนร้ายส่งข้อความผ่านโปรแกรม Wechat แจ้งว่าให้หาเงินมาให้ จำนวน 1,000,000 USDT หรือประมาณ 35 ล้านบาทแลกกับชีวิตของนายเหริน และส่งภาพนายเหรินถูกพันเทปปิดตา และมีนิ้วที่ถูกตัดวางอยู่ด้วย น.ส.อริสราฯ จึงได้มาแจ้งความที่ สภ.เมืองพัทยา เพื่อให้การช่วยเหลือนายเหรินโดยด่วน
ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนนั้น คนร้ายได้ติดต่อให้ น.ส.อริสรา โอนเงินให้เพื่อแลกกับการปล่อยตัวนายเหริน โดยบังคับให้โอนเงินค่าไถ่ให้โดยเปลี่ยนเป็นเงินคริปโตสกุล USDT ซึ่ง น.ส.อริสรา ได้ทยอยโอนเงินไปให้รวมเงินประมาณ 3 แสนบาท ต่อมาวันที่ 31 ต.ค.65 ระหว่างการเจรจา นายเหริน สามารถหลบหนีออกมาจากที่กุมขังได้ และโทรศัพท์ให้ น.ส.อริสรา มารับตนที่บริเวณหมู่บ้านฮอร์สชูพ้อยท์ ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ก่อนที่จะติดต่อไม่ได้ นายเหริน ได้ส่งโลเคชั่นมาให้ น.ส.อริสรา ว่าไปคุยธุระกับนายต้าเต้า ที่หมู่บ้านเดอะเลค ห้วยใหญ่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าตรวจสอบ พบหลักฐานเป็นเชือกที่ใช้ในการมัดนายเหริน และทราบว่า ได้มีคนจีนชื่อ นายจาง เหวิน เจี๋ย หรือ อาถัง เป็นผู้มาเช่า ซึ่งหลังจากที่นำรูปถ่ายให้นายเหรินดูแล้ว ยืนยันว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อเหตุร่วมกันนายต้าเต้าจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดพัทยา ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองราย และสามารถจับกุมได้ ประกอบด้วย
1. นายจาง เต๋อ หลง หรือต้าเต้า อายุ 30 ปี สัญชาติจีน (จับกุม 2 พ.ย.65)
2. นายจาง เหวิน เจี๋ย หรือ อาถัง อายุ 27 ปี สัญชาติจีน (จับกุม 2 พ.ย.65)
โดยดำเนินคดีความผิดฐาน ร่วมกันเรียกค่าไถ่ โดยเอาตัวบุคคลอายุกว่า 15 ปีขึ้นไป โดยใช้กลอุบายหลอกลวง หน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือกักขังบุคคลที่เอาตัวไป เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือผู้ถูกกักขังนั้นรับอันตรายสาหัส, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น, ร่วมกันทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายรับอันตรายสาหัส และร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุและนายเหริน ได้เคยร่วมกันทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยกันมาก่อน ต่อมามีความขัดแย้งกันในเรื่องของผลประโยชน์ ทำให้ต้องแยกย้ายกัน และต่อมาตามวันเวลาเกิดเหตุ ได้นัดเจอกันเพื่อจะพูดคุยเรื่องผลประโยชน์กัน ก่อนที่กลุ่มผู้ต้องหาจะตัดสินใจลักพาตัวนายเหรินเพื่อเรียกค่าไถ่ดังกล่าว
หลังจากทราบเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการเพิกถอนวีซ่าของนายเหริน และน้องชาย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกิดความขัดแย้งดังกล่าว และดำเนินการผลักดันตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวถือเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ จึงต้องเร่งทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด จากการสืบสวนทราบว่า ทั้งผู้ต้องหาและผู้เสียหายเคยทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยกัน และมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กันมาก่อน ผู้ต้องหาจึงได้วางแผนมาก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุทั้ง 2 รายมาดำเนินคดีได้แล้ว จากนี้จะสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมเพื่อดูว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังอีกหรือไม่ หากพบผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมก็จะนำตัวมาดำเนินคดีต่อไป นอกจากนี้ ในส่วนของฝั่งผู้เสียหายซึ่งขัดแย้งกับผู้ต้องหาเกี่ยวกับผลประโยชน์จากการกระทำความผิด จึงได้ดำเนินการเพิกถอนวีซ่าและผลักดันกลับประเทศ และจะพิจารณาดำเนินการขึ้นบัญชีในการห้ามเดินทางเข้าประเทศต่อไป