โฆษก กอร. ยืนยัน ตำรวจจำเป็นต้องสกัดกั้นการชุมนุมโดยยึดยุทธวิธี

พลตำรวจตรี อาชยน ไกรทอง โฆษกกองอำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัยและการจราจร การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค 2022 หรือ กอร.แถลงสรุปสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มราษฎรหยุด APEC ที่เคลื่อนขบวนออกจากลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อยื่นหนังสือผู้นำโลกในการประชุมเอเปค จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ว่า เบื้องต้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ฝ่าฝืนข้อหนดและเงื่อนไขในการชุมนุม เรื่องการห้ามเคลื่อนขบวน และตำรวจได้แจ้งเตือนเป็นระยะแล้ว แต่ผู้ชุมนุมฝ่าฝืน ขว้างปาสิ่งของ ทำลายรถกระบะของตำรวจเสียหาย และต่อสู้ขัดขวางทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้กำลังเข้าจับกุมผู้กระทำความผิด จากนั้นผู้ชุมนุมก็ยังไม่หยุด และมีการวางเพลิงบนรถตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่มีความเป็นต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ ตามยุทธวิธี ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมผู้กระทำผิดได้ 25 ราย จากที่มีผู้มาร่วมชุมนุมกว่า 300 คน ถูกนำตัวไปดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ , ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ , วางเพลิง , ทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย , ทำร้ายร่างกาย , ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก และพระราชบัญญัติความสะอาด ส่วนข้อหาอื่นๆ อยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มเติม หากเข้าข่ายความผิดก็จะมีการดำเนินคดี ซึ่งยังคงให้สิทธิผู้ชุมนุมในการติดต่อญาติและทนายความได้ ส่วนสถานที่ควบคุมตัวไม่สามารถเปิดเผยได้

นอกจากนี้ โฆษก กอร.กล่าวถึงกรณีสื่อมวลชนได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ว่า ตำรวจมีแผนการดูแลความปลอดภัยของสื่อมวลชน คือต้องมีการลงทะเบียนสื่อ ต้องสวมปลอกแขน และกำหนดพื้นที่ปลอดภัยของสื่อมวลชนไว้แล้ว แต่จากภาพที่ปรากฎออกมาว่าเจ้าหน้าที่อาจปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุนั้น ทั้งประเด็นการขว้างปาแก้วจนสื่อมวลชนโดนลูกหลง การทำร้ายสื่อมวลชน การใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุม ตลอดจนการใช้ระเบิดควัน ก็จะมีการตรวจเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยยังไม่สามารถด่วนสรุปได้ แต่ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมและชี้แจงให้กับประชาชนทราบโดยเร็วเพื่อคลายข้อสงสัย

ทั้งนี้ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นย้ำกำชับให้ตำรวจที่เข้าควบคุมผู้ชุมนุม เน้นการเจรจา หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง แต่หากเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องป้องกันตนเอง หรือจับกุมผู้กระทำความผิดร้ายแรงก็ให้ดำเนินการตามความเหมาะสม