วันนี้ (๒๘ ต.ค. ๖๕) เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ในฐานะโฆษกกองบัญชาการฯ แจ้งต่อสื่อมวลชนเพิ่มเติมกรณีที่ปรากฎเป็นข่าวว่ามีข้าราชการตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลาถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสมต่อนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้รายงานต่อสื่อไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ ต.ค. ๖๕
โดยวันนี้ พล.ต.ต. อภิชาติฯ ได้นำเรียนต่อสื่อเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้สั่งการให้ พล.ต.ต. กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่การท่องเที่ยวภาคใต้ทั้งหมด ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งได้ความว่า
- เหตุการณ์ครั้งนี้สืบเนื่องมาจากวันที่ ๑๙ ต.ค. ๖๕ เวลา ๑๗.๐๐ น. มีพลเมืองดีมาแจ้งต่อตำรวจท่องเที่ยวว่า ให้ไปตรวจสอบบ้านเลขที่ ๙๑ หมู่ที่ ๗ ซ.ธนาคารกสิกรไทย ถ.กาญจนวณิช ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวไม่ทราบชื่อและสัญชาติ นั่งสูบบารากู่ทุกวันเป็นประจำสร้างความเดือดร้อนรำคาญเป็นอย่างมากต่อผู้คนข้างเคียงและเดินผ่านไปมา
- หลังจากได้รับแจ้งแล้ว ร.ต.ท.ประวิต จางวาง รองสารวัตรตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา และดาบตำรวจ จารุวิทย์ แสงสุวรรณ ผบ.หมู่ กองกำกับการสืบสวนสวน กองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ๖ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่จุดบริการนักท่องเที่ยวสะเดา จึงได้ร่วมกันเดินทางไปยังที่เกิดเหตุตามที่รับแจ้ง และพบนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาตินั่งสูบบารากู่อยู่ในที่เกิดเหตุตามที่ได้รับแจ้งจริง จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวสามารถสื่อสารภาษาไทยพอได้บ้าง ได้แจ้งกลับมาว่า ไม่ให้ดูและไม่ให้หนังสือเดินทางไปตรวจสอบตามที่ตำรวจขอความร่วมมือ โดยเพียงบอกว่า ตนเป็นคนสัญชาติมาเลเซีย
- เมื่อได้รับการตอบสนองเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอเชิญนักท่องเที่ยวรายนี้เดินทางไปที่จุดบริการนักท่องเที่ยวสะเดาเพื่อตรวจสอบการเดินทางเข้าออกประเทศ ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็ได้แสดงอาการขัดขืนและพยายามหลบหนี ตำรวจทั้งสองจึงช่วยกันควบคุมตัวและเชิญขึ้นรถกระบะพร้อมด้วยอุปกรณ์สูบบารากู่ทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบว่ากระบวนขั้นตอนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาอย่างถูกต้องหรือไม่ และเพื่อความรอบคอบ ยังได้เชิญ นายศุภกิจ กานุ ประชาชนคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บริเวณที่เกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างดี ไปเป็นพยานการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในครั้งนี้ด้วย อีกทั้งได้แจ้งภรรยาของนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวให้นำหนังสือเดินทางตามไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยวสะเดา เพื่อให้การตรวจสอบสามารถทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
- ในระหว่างการเดินทางไปจุดบริการนักท่องเที่ยวสะเดา ห่างจากที่เกิดเหตุมาเพียงประมาณ ๑๕ เมตร ซึ่งเป็นจุดเลี้ยวโค้งและรถยนต์ต้องชะลอความเร็ว นักท่องเที่ยวดังกล่าวได้อาศัยจังหวะนี้กระโดดลงจากรถหลบหนีไป
- ต่อมาวันที่ ๒๑ ต.ค. ๖๕ ได้มีชายคนหนึ่งติดต่อมาที่ ร.ต.ท.ประวิตฯ เพื่อขอให้ไม่ดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียรายนี้ โดยจะขอมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ ร.ต.ท.ประวิตฯ ได้ปฏิเสธทันทีและยืนยันไปกับชายคนนั้นว่าให้นำนักท่องเที่ยวรายนี้มามอบตัวเพื่อดำเนินคดี
- หลังจากนั้น ตำรวจจึงสืบทราบได้ว่า นักท่องเที่ยวรายนี้ชื่อ Mr. Abdul Ghani bin Abdul Mana อายุ ๒๙ ปี สัญชาติมาเลเซีย ได้เดินทางออกจากประเทศไทยทันทีหลังจากกระโดดหนีลงจากรถในวันเกิดเหตุ แต่ก็ได้กลับมายังประเทศไทยอีกในวันที่ ๒๔ ต.ค. ๖๕ เพื่อมาแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรสะเดา เพื่อให้ดำเนินคดีกับตำรวจทั้งสองคนในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเรียกรับผลประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อทราบดังนั้น ตำรวจทั้งสองคนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ไปมอบให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสะเดาให้ดำเนินคดีกับ Mr. Abdul ในความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
- อย่างไรก็ตาม หลังจากปรากฎข่าวนี้ต่อสื่อมวลชน ผู้บังคับบัญชาทุกระดับของ ร.ต.ท.ประวิตฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และคิดเสมอว่ากระบวนการยุติธรรมต้องให้ความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งในส่วนของการร้องทุกข์ดำเนินคดีของแต่ละฝ่ายนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสะเดาได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตรงนี้แล้ว ซึ่งผลการสอบสวนจะเป็นประการใดนั้น กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเชื่อเหลือเกินว่า ทางตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา จะได้แจ้งให้สื่อมวลชนทราบทันทีเมื่อการสอบสวนได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ในส่วนของการตรวจสอบภายในของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเองนั้น ทางกองกำกับ ๓ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ ร.ต.ท.ประวิตฯ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการปฏิบัติหน้าที่ของ ร.ต.ท.ประวิตฯ ขึ้นอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยปรากฎตามคำสั่งเลขที่ ๕๗/๒๕๖๕ ลงวันที่ ๒๗ ต.ค. ๖๕ และในระหว่างดำเนินการตามคำสั่งนี้ ก็ได้สั่งให้ ร.ต.ท.ประวิตฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นการชั่วคราวต่อไป
พล.ต.ต.อภิชาติฯ สรุปท้ายว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวนั้น โดยปกติก็จะมีการประสานงานกับหน่วยงานข้างเคียงหลายหน่วยในพื้นที่อยู่แล้ว ทั้งหน่วยงานตำรวจด้วยกันเอง หน่วยราชการอื่นต่างสังกัดกระทรวง และรวมไปถึงหน่วยงานภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจในพื้นที่ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติอย่างสม่ำเสมอ เพราะตำรวจท่องเที่ยวหน่วยเดียวนั้น ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากเป็นที่ทราบดีว่า หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีมากมายหลายหน่วย และต่างก็มีอำนาจหน้าที่เฉพาะด้านและเฉพาะทางกันแตกต่างกันไปตามพื้นที่บ้าง ตามลักษณะของความผิดบ้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่เข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชน นักท่องเที่ยวกับผู้ปฏิบัติ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวก็พร้อมตรวจสอบ พิจารณาไตร่ตรอง และก็ได้ดำเนินการอย่างที่ได้แจ้งให้ทราบข้างต้นแล้ว จึงขอเรียนไปยังสื่อมวลชนทุกท่านว่า หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการฯ ที่ตั้งขึ้นเป็นอย่างไรแล้ว จะได้แจ้งความคืบหน้าให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบต่อไปทันที