วันนี้ (๒๗ ต.ค. ๖๕) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แจ้งต่อสื่อมวลชนกรณีมีข่าวนักธุรกิจชาวมาเลเซียถูกอุ้มโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยว่า
ต่อกรณีนี้นั้น หลังจากที่รับทราบจากสื่อมวลชนแล้ว กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้สั่งการให้ พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ ซึ่งควบคุมพื้นที่การท่องเที่ยวภาคใต้ เข้าตรวจสอบรายละเอียดทันที ซึ่งผลจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบข้อเท็จจริงปรากฎว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากวันที่ ๑๙ ต.ค.๒๕๖๕ มีพลเมืองดีแจ้งมาว่า พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั่งดูดบารากู่อยู่บริเวณถนนกาญจนวณิช ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา เป็นประจำ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดำเนินการตามกฎหมายแต่อย่างใด หลังรับแจ้งจากพลเมืองดีแล้ว ร.ต.ท.ประวิต จางวาง รองสารวัตรตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย ดาบตำรวจ จารุวิทย แสงสุวรรณ ผบ.หมู่ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ๖ จึงได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุตามที่รับแจ้งทันที ซึ่งในที่เกิดเหตุได้พบนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทราบชื่อภายหลังว่า Mr. Abdul Ghani bin Abdul Mana สัญชาติมาเลเซีย นั่งดูดบารากู่อยู่จริงตามที่ได้รับแจ้ง จึงเข้าพูดคุยและขอเชิญตัวไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยวสะเดาเพื่อตรวจสอบหนังสือเดินทาง แต่นักท่องเที่ยวดังกล่าวไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งไม่แจ้งเอกสารการเดินทางและเอกสารประจำตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายจึงได้อธิบายความให้เข้าใจว่า จะขอเชิญตัวเพื่อไปเพื่อตรวจสอบเอกสารการเดินทางและตรวจสอบการเข้าออกประเทศก่อนเท่านั้น นักท่องเที่ยวดังกล่าวจึงยอมขึ้นรถกระบะ ซึ่งตำรวจก็ได้นำตัวพร้อมเครื่องดูดบารากู่ทั้งหมดไปเพื่อตรวจสอบด้วย พร้อมทั้งยังได้เชิญ นายศุภกิจ กานะ อายุ ๔๖ ปี ซึ่งอยู่หน้าบ้านที่เกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไปเป็นพยานในครั้งนี้ นอกจากนี้ ก่อนออกเดินทาง ตำรวจทั้งสองคนยังได้แจ้งภรรยาของนักท่องเที่ยวดังกล่าวให้รับทราบด้วยว่า หากมีหนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวรายนี้ ก็ให้นำตามไปด้วยจะได้ทำให้การตรวจสอบง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ในระหว่างเดินทางไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยวสะเดาตามที่กล่าวไปนั้น นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวได้อาศัยจังหวะที่รถเลี้ยวโค้งซึ่งต้องใช้ความเร็วลดลง กระโดดลงจากรถหลบหนีไป จากการตรวจสอบการเดินทางเข้าออกของนักท่องเที่ยวดังกล่าวในเวลาต่อมาจึงพบว่า นักท่องเที่ยวรายนี้ได้เดินทางออกนอกประเทศไปเมื่อวันที่ ๒๑ ต.ค.๖๕ และเดินทางเข้ามาประเทศไทยใหม่อีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๒๔ ต.ค.๖๕ โดยมาแจ้งความตามที่ปรากฎเป็นสื่อดังกล่าว
ทันทีที่สืบทราบว่า นักท่องเที่ยวรายนี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีก ตำรวจท่องเที่ยวสงขลาจึงนำพยานหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมได้ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสะเดาทันที ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวก็ได้สั่งกำชับให้ พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ๓ สืบสวนข้อเท็จจริงควบคู่กันไปด้วยว่า ตำรวจท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวรายนี้มีพฤติกรรมใดที่เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจะรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินการให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบเป็นระยะต่อไป
พล.ต.ต.อภิชาติฯ กล่าวว่า ตำรวจท่องเที่ยวขอยืนยันว่า จะตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุด โดยจะดำรงไว้ซึ่งเป็นความเป็นธรรมให้กับทั้งสองฝ่าย และหากพบว่า พฤติการณ์ครั้งนี้ มีผู้อื่นใดเข้าไปเกี่ยวข้องโดยทุจริตแล้ว ก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป