เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ต.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน กทม.ทนายความพาครอบครัวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร้องกองปราบ ดำเนินคดีหญิงสาวรายหนึ่ง ใช้กลอุบาย หลอกลวง เอาทรัพย์สิน เงินสด หุ้น คอนโด ที่ดินอาคารพานิชย์ มูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท ร้องเพื่อให้หยุดพฤติกรรม ไม่ให้ไปหลอกลวงใครอีก
นายศุภโชค ศุภบัณฑิต นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ พร้อมครอบครัว และนายพิทยา เพชรพลอย ,นายปัจจุคมน์ เจริญรัชต์ ทนายความ เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อ กองปราบปราม เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง เพราะทางครอบครัวสงสัยว่าคุณพ่อ กำลังถูกกลุ่มบุคคล ที่น่าจะเป็นขบวนการ เข้ามาหลอกลวง คุณพ่อ ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน ไปแล้วประมาณ 50 ล้านบาท
นายศุภโชค เปิดเผยว่า พ่อตนเอง ซึ่งปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นทนายความ และทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เมื่อช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา คุณพ่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าสนใจจะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่คุณพ่อกำลังประกาศขาย โดยบุคคลดังกล่าวอ้างว่าตนเอง มีเงินมากมาย แต่ละเดือนจะมีรายได้หลายร้อยล้านบาท และอยากมาร่วมลงทุนทำธุรกิจกับคุณพ่อเพราะถูกชะตาและศรัทธาในความสามารถซึ่งคุณพ่อก็หลงเชื่อตามนั้น
หลังจากนั้น ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา คุณพ่อก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างมาก ออกจากบ้านไปอยู่กับบุคคลดังกล่าว ไม่กลับบ้าน ลดการติดต่อกับคนครอบครัวและขาดการพบปะเพื่อนฝูง ไม่ไปพบแพทย์ตามปกติ เลยกำหนดเป็นเวลาหลายเดือน ตนเอง ได้ติดต่อไปยังบุคคลดังกล่าว เพื่อขอให้พาคุณพ่อไปหาหมอ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บุคคลนั้น ได้พาคุณพ่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และแพทย์ได้ออกใบรับรองแพทย์ โดยระบุว่า คุณพ่อสามารถทำนิติกรรมได้
จากนั้นคุณพ่อได้จดทะเบียนสมรสกับบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่า บุคคลนั้น ได้ทำการหย่าขาดกับสามีเดิมซึ่งเป็นอดีตตำรวจ และในวันเดียวกันนั้น ก็จดทะเบียนสมรสกับคุณพ่อ ในทันที โดยการหย่าและการจดทะเบียนสมรสนั้น เกิดขึ้นที่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร
ทางครอบครัว ได้ปรึกษากันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับ คุณพ่อ ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคุณพ่ออยู่กินกับภรรยาคนปัจจุบัน และช่วยกันทำมาหากินกันมาตั้งแต่ปี 2521 โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกัน แต่พอมาเจอกับบุคคลดังกล่าวไม่กี่เดือน กลับไปจดทะเบียนสมรสกัน
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลเรื่องการทำนิติกรรม ก็พบข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับทางครอบครัว เช่น มีการโอนทรัพย์สินของคุณพ่อหรือของครอบครัว เช่น หุ้น ที่ดิน และคอนโดมีเนียม โดยอ้างว่าเป็นการขายให้ลูกชายของบุคคลดังกล่าว ซึ่งครอบครัวคิดว่าอาจจะไม่มีการจ่ายเงินจริง หรือไม่เงินก็ถูกเอาไปจากคุณพ่อหมดแล้ว ทั้ง 3 รายการนี้ มีมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการจัดการให้คุณพ่อไปจำนองทรัพย์สินหลายรายการ โดยไม่ทราบว่าได้เงินมาจริงหรือไม่ และตอนนี้เงินไปอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งรายการทรัพย์สินเหล่านี้รวมกับเงินสดที่คุณพ่อได้มาจากการขายที่ดิน หรือค่าเช่าที่ดินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รวมกันประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่ง ครอบครัวก็เพิ่งทราบว่าบุคคลดังกล่าวมีความพยายามในการนำทรัพย์สินของคุณพ่อและครอบครัว ไปขายและจำนองในราคาต่ำ
ระยะเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวก็อดทนมาตลอด แต่มาวันนี้ ตนเอง กับครอบครัว ก็ตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือจากกองปราบฯ ให้ช่วยดำเนินการค้นหาข้อเท็จจริง ว่าเป็นดังเช่นที่ทางครอบครัวสงสัยหรือไม่ เพราะทางเราเองก็ได้รับทราบจากข่าวว่า มีกรณีผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของบุคคลนี้ โดยมีพฤติกรรมที่คล้ายกันมาก
นายศุภโชค ยังกล่าวด้วยว่า อยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกันเตือนสังคมว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ เพราะเราไม่อยากเห็นใครไปหลงเชื่อ และต้องเกิดความเสียหายอีก พร้อมทั้งขอฝากไปถึงบุคคลภายนอกที่สุจริตว่าไม่ควรที่จะเข้ามาซื้อ หรือ รับจำนองทรัพย์สินของคุณพ่อหรือของครอบครัว จากบุคคลดังกล่าว เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือ และเกิดความเสียหายหรืออาจต้องมีคดีความเกิดขึ้นในอนาคตได้
นายพิทยา ทนายความ กล่าวว่า ในส่วนของ กฎหมายเราคงต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะฟันธงว่ามีลักษณะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่อย่างไรจึงต้องอาศัย การสืบสวนจากพนักงานสอบสวน ให้ได้ข้อเท็จจริง ก่อน แต่ทราบว่า ขณะนี้ ทรัพย์สินถูกโอนไปที่ไหน อย่างไรบ้างนั้น พอจะทราบแล้ว รอเพียงการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อน
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน กองปราบปราม รับเรื่องไว้ เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชา ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แม่ค้าขายไอติม มาแจ้งบรรดาผู้สื่อข่าวว่า ภรรยานักธุรกิจ ที่มายื่นหนังสือร้อง ผบก.ป. ได้
เหมาไอติม “ไผ่ทอง ไอศครีม” ในราคา 4,000 บาท เลี้ยงนักข่าว ตำรวจ และประชาชนที่มาติดต่อราชการที่ศูนย์รับแจ้งความฯ แม่ค้าไอติม ดีใจเรียกคนกินกันเยอะๆ จะได้หมดเร็วๆ จะได้ไปรับใหม่มาขายอีกรอบ บอกว่าวันนี้โชคดี นานๆ จะมีคนใจดีมาเหมาซักที