ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบกับปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะมีการปราบปรามจับกุมมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ผู้กระทำผิดก็ได้พัฒนารูปแบบการกระทำผิดมากขึ้นเช่นกัน เช่น การลักลอบนำเข้าทั้งทางบกและทางทะเล การลักลอบปะปนมากับสินค้าอื่น การสำแดงเอกสารเท็จ เป็นต้น ทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากภาษีสรรพสามิตอย่างมหาศาล ตลาดของบริษัทผู้ค้าน้ำมันถูกเอารัดเอาเปรียบ และประชาชนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำมันที่ไม่ได้คุณภาพ
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบหมายหน้าที่และการสั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปนม.ตร. (ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง) ทำหน้าที่ในการสืบสวน ปราบปราม และจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง หลังได้รับมอบหมายหน้าที่ดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศปนม.ตร. เร่งออกปฏิบัติการสืบสวนการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง
ต่อมาชุดปฏิบัติการ ศปนม.ตร.โดย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 , พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผกก.4 บก.สส.สตม. ร่วมกับ พ.ต.อ.เติมรัศม์ จินดาวัฒน์ ผกก.สภ.เมืองสมุทรปราการ พร้อมด้วย ตม.จว.สมุทรปราการ เจ้าหน้าที่สรรพสามิต และศุลกากร ร่วมกันเข้าตรวจสอบเรือชื่อ “Polestar” สัญชาติเรือตูวาลู (Tuvalu) ซึ่งออกเดินทางจากประเทศสิงคโปร์มายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 ต.ค.65 ที่ผ่านมา และเข้าเทียบท่า ณ ท่าเทียบเรือบริษัท เลนโซ่ เทอร์มินอล จำกัด ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เบื้องต้นตัวเรือดังกล่าวอยู่ในความดูแลของ บริษัท เอ็มอาร์บี ชิปเอเจนซี่ จำกัด
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ศปนม.ตร.ทราบว่า เรือ Polestar มีพฤติการณ์ลักลอบนำเข้าน้ำมันเบนซิน จากประเทศสิงคโปร์ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหลายครั้ง ปริมาณครั้งละหลายล้านลิตร ใช้วิธีการแจ้งสำแดงการนำเข้าเป็น เอทานอล และ เมทานอล แต่จะลักลอบนำน้ำมันเบนซินครั้งละหลายล้านลิตรซุกซ่อนมาด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ต.ค.65 ชุดสืบสวน ศปนม.ตร.ทราบว่าเรือลำดังกล่าวแจ้งการนำเข้า เมทานอล METHANOL น้ำหนักสุทธิ 452,789.000 กก. แต่จากการสืบสวนทราบว่าจะลักลอบนำน้ำมันเบนซินจำนวน 4-5 ล้านลิตรมาด้วย จึงได้ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตรวจค้นเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ศุลกากร จึงได้เข้าทำการตรวจค้นเรือลำดังกล่าว และได้แจ้งขอกำลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานสมุทรปราการ เข้าร่วมตรวจค้น เมื่อเข้าตรวจค้นพบว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมเรือได้แสดงเอกสารแจ้งนำเข้าสารเมทานอล (METHANOL) น้ำหนักสุทธิ 452,789.000 KGM (กิโลกรัม) ฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม 6,931,094.58 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 485,176.62 บาท ดังกล่าวจริง แต่จากการตรวจค้นโดยละเอียดพบว่าภายในเรือ มีสารเอทานอล (ETHANOL) น้ำหนักสุทธิ 486.337 CuM. (486,337 ลิตร) น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว (Unleaded Gasoline) น้ำหนักสุทธิ 4,847.706 CuM. (4,847,706 ลิตร) บรรทุกมาในเรือลำดังกล่าวด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถาม ผู้ควบคุมจัดการสินค้าจึงได้นำเอกสารของบริษัทอีกฉบับมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร แจ้งว่าสารเอทานอล และ น้ำมันเบนซินดังกล่าวจะขนต่อไปประเทศเวียดนาม ไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทย แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบสายท่อขนถ่ายในที่เกิดเหตุมีคราบน้ำมันเบนซินชนิดเดียวกับที่บรรทุกมาในเรือ เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐานจึงได้ตรวจเก็บตัวอย่างของสารชนิดต่างๆ เพื่อทำการตรวจพิสูจน์ต่อไป
ต่อมาเจ้าพนักงานศุลกากรจึงได้สั่งกักเรือดังกล่าวเพื่อทำการตรวจสอบ จากการสืบสวนเรือ Polestar ได้เข้าเทียบท่าเรือดังกล่าวมาแล้วถึง 28 ครั้ง โดยแจ้งการนำเข้า สารเมทานอล มาโดยตลอดและมีต้นทางจากประเทศสิงคโปร์ มาส่งสินค้นค้าที่ท่าเรือนี้ จากนั้นจะเดินทางกลับสิงคโปร์ทันที โดยไม่เคยเดินทางจากประเทศไทยไปประเทศเวียดนามแต่อย่างใด เบื้องต้นหากพบว่ามีการสำแดงเอกสารเท็จก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ จะมีการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการขนถ่ายน้ำมันเบนซินดังกล่าว หากพบว่ามีการลักลอบขนถ่ายเข้ามาในประเทศไทย มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ ก็จะพิจารณาดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ ต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบหมาย และสั่งการให้เร่งสืบสวนปราบปรามการผู้กระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการออกสืบสวนเกี่ยวกับการกระทำผิด ก่อนจะพบว่า ได้มีเรือ Polestar ลำนี้ มีพฤติการณ์ในการลักลอบขนน้ำมันเบนซินจากประเทศสิงคโปร์มาจำหน่ายในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ ศปนม.ตร. บูรณาการร่วมกับ ตม. ศุลกากร และสรรพสามิต ในการเข้าตรวจสอบการกระทำผิดดังกล่าว เบื้องต้นต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับการสำแดงเอกสารว่ามีการสำแดงเท็จหรือไม่ รวมทั้งต้องมีการเร่งพิสูจน์ว่า มีการลักลอบขนถ่ายน้ำมันเบนซินลงมาจากเรือเพื่อส่งจำหน่ายในประเทศไทยด้วยหรือไม่ หากพบการกระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาดต่อไป