วันที่ 29 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น. ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติในด้านการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนั้น ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5,พล.ต.ต.วรพงค์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และคุณหนึ่งฤทัย ทิพยโชค ตำแหน่ง ธนกรอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทยสำนักงานภาคเหนือ
ได้ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้
1.การจับกุมธนบัตรปลอม
หน่วยจับกุม สภ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย, บก.สส.ภ.5, กก.สส.ภ.จว.แพร่, กก.สส.ภ.จว.ชัยนาท
วัน/เดือน/ปี ที่จับกุม 27 กันยายน 2565 เวลาประมาณ 13.30 น.
สถานที่จับกุม ริสอร์ทแห่งหนึ่งใน อ.เมืองชัยนาท จว.ชัยนาท
ผู้ต้องหารวม 3 คน
- น.ส.ธันวาภรณ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี ภูมิลำเนา อ.พร้าว จว.เชียงใหม่
- นายพชร (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ภูมิลำเนา อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา
- นายอับดุลมานาฟ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา อ.สะเดา จว.สงขลา
ของกลางประกอบด้วย
๑. ธนบัตรปลอม ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 1,139 ฉบับ รวมมูลค่า 1,139,000 บาท
- ธนบัตรปลอม ฉบับละ 500 บาท จำนวน 60 ฉบับ รวมมูลค่า 30,000 บาท
- เครื่องพิมพ์ (ปริ้นเตอร์) จำนวน 2 เครื่อง
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อฮอนด้า สีเทา หมายเลขทะเบียน งน 16XX เชียงใหม่
ข้อกล่าวหา “ร่วมกันมีเพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆ อันตนรู้ว่าเป็นธนบัตรของปลอมหรือเป็นธนบัตรปลอม”
พฤติการณ์แห่งคดี สืบเนื่องจากวันที่ 20 กันยายน 2565 เวลาประมาณ 14.15 น. ได้มีคนร้ายเป็นผู้ชายนำธนบัตรปลอม ฉบับละ 1,000 บาท ไปซื้อสินค้าภายในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในเขต อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย จึงได้สั่งการให้ทำการสืบสวนและติดตามตัวมาดำเนินคดี
จากการสืบสวนหาข่าว จนกระทั่งสืบสวนทราบว่าผู้ที่นำธนบัตรปลอมมาซื้อสินค้าคือนายอับดุลมานาฟฯ และสามารถจับกุมตัวนายอับดุลมานาฟฯพร้อมธนบัตรปลอม ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 5 ฉบับ และมีหมายเลข 2 ก 9502582 ตรงกันทั้ง 5 ฉบับ ส่ง พงส.สภ.เมืองเชียงราย ดำเนินคดีตามกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวนธนาคารแห่งประเทศไทย สืบสวนขยายผลถึงแหล่งที่มาของธนบัตรปลอม และสามารถจับกุมตัว น.ส.ธันวาภรณ์ฯ เป็นผู้ใช้งานเฟซบุ๊ค ในชื่อ “มารูโกะ จัง” ซึ่งได้มีการประกาศขายธนบัตรปลอมผ่านทางออนไลน์ได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในเขต อ.เมืองชัยนาท พร้อมด้วยตรวจยึดของกลางดังกล่าวข้างต้น มาดำเนินคดีตามกฎหมาย
2.การจับกุมอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน
หน่วยที่จับกุม ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.ชุดที่5) ร่วมกับ ศปอส.ภ.5 และ สภ.ช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่
วัน/เดือน/ปี ที่จับกุม 28 กันยายน 2565 เวลา 13.30 น.
จับกุมที่ บริเวณคอนโดแห่งหนึ่ง ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ผู้ต้องหาชื่อ นายวัชพลหรือเบ้นซ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ที่อยู่ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง
ในความผิดฐาน “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มีหรือจำหน่าย ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไมได้รับอนุญาต”
พร้อมของกลาง
- อาวุธปืนไม่มีทะเบียน ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก
- อาวุธปืนแบลงค์กันดัดแปลง ชนิดแปลงลำกล้องพร้อมใช้ จำนวน 5 กระบอก
- ปืนแบลงค์กัน จำนวน 14 กระบอก
- .กระสุนปืน ขนาด 9 มม. ลูกจริง(หัวทองแดง) จำนวน 15 นัด
- กระสุนปืน ขนาด 9มม.ลูกซ้อม(หัวตะกั่ว) จำนวน 52 นัด
- กระสุนปืน ขนาด .38มม. (ลูกซ้อม) จำนวน 19 นัด
- กระสุนปืน ขนาด .45มม. ลูกซ้อม(หัวตะกั่ว)จำนวน 5 นัด
- กระสุนปืน ขนาด .45มม. ลูกจริง(หัวทองแดง)จำนวน 1 นัด
- กระสุนปืน ขนาด 5.56 มม. จำนวน 55 นัด
- อุปกรณ์ดัดแปลงอาวุธปืน,สมุดบัญชี,บัตรเอทีเอ็ม,โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก
พฤติการณ์แห่งคดี สืบเนื่องจากมีการประกาศขายอาวุธปืนผ่านทางไลน์ official ที่ใช้ชื่อว่า “ช่างทำปืน” ชุดจับกุม จึงได้ทำการสืบสวนและรวบรวมหลักฐาน จนมีหลักฐานเพียงพอว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์การจำหน่ายอาวุธปืนจริง จึงได้ขอออกหมายค้นตามหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ 334/2565 ลงวันที่ 28 กันยายน 2565 ทำการตรวจค้นห้องพัก บริเวณคอนโดแห่งหนึ่ง ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จากการตรวจค้นพบอาวุธปืน 1 กระบอก อาวุธปืนแบลงค์กันจำนวน 5 กระบอก เครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง
หลังจากจับกุมผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าได้ทำการสั่งปืนแบลงค์กันมาดัดแปลงเป็นอาวุธปืนด้วยตนเองซึ่งได้ศึกษาวิธีการดัดแปลงจาก Youtube จากนั้นได้ประกาศขายผ่านทางไลน์ official ที่ใช้ชื่อว่า “ช่างทำปืน” ทำมาแล้วประมาณ 2 ปีรวมจำนวนอาวุธปืนที่ขายไปประมาณ 100 กระบอก ได้กำไรจากการกระทำดังกล่าว 3000-4000 บาท ต่อกระบอก จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งสภ.ช้างเผือก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย