จากกรณี เมื่อประมาณต้นปี 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุแก๊งคนร้ายตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์ในพื้นที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล รวมกันกว่า 12 คดี ซึ่งผู้ก่อเหตุจะมีพฤติกรรมคล้ายกัน กล่าวคือ จะแต่งกายด้วยการสวมเสื้อคล้ายชุด PPE สวมหมวกโม่งลิง สะพายเป้สีดำ ถือชะแลงเหล็กยาว เลือกก่อเหตุในร้านค้า สถานประกอบการ สหกรณ์ ปั๊มน้ำมัน ร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีตู้นิรภัย ซึ่งบริเวณด้านหลังอาคารมักจะอยู่ติดกับป่าละเมาะ หรืออยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนหรือชุมชน มูลค่าความเสียหายจากการก่อเหตุของแก๊งดังกล่าวมากกว่า 29 ล้านบาท สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เร่งดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้โดยด่วน เนื่องจากกลุ่มคนร้ายดังกล่าวมีพฤติการณ์ที่อุกอาจ ก่อเหตุอย่างต่อเนื่องไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความหวาดกลัวให้พี่น้องประชาชน และสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าหลายล้านบาท และได้ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 406/2565 ลงวันที่ 8 ก.ย.65 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและประสานข้อมูลและการปฏิบัติจากหลายท้องที่ เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และเร่งติดตามทรัพย์สินที่ถูกลักเอาไปกลับคืนมาโดยเร็ว
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบว่า มีเหตุลักทรัพย์ที่มีพฤติการณ์ในการก่อเหตุในลักษณะใกล้เคียงกันนี้อีกรวมทั้งสิ้น 25 ครั้ง ในหลายท้องที่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท และสามารถระบุตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ได้ ดังนี้คือ นายสมพร อายุ 44 ปี นายวสันต์ อายุ 39 ปี
โดยทั้งสองมีพฤติการณ์ในการก่อเหตุกล่าวคือ ผู้ต้องหาทั้งสองจะขับรถยนต์ตระเวนหาเป้าหมายในการก่อเหตุที่เป็นร้านค้า สถานประกอบการ สหกรณ์ ปั๊มน้ำมัน ร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีตู้นิรภัย ที่ตั้งอยู่ติดกับป่าละเมาะ หรืออยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนหรือชุมชน เมื่อสบโอกาส ก็จะแต่งกายคล้ายการสวมชุด PPE สวมหมวกโม่งลิง สะพายเป้สีดำ ใช้ไขควงยาวในการงัดแงะเข้าไปในตัวอาคารแล้วเข้าไปลักเอาทรัพย์สิน โดยใช้ชะแลงเหล็กเจาะทำลาย หรือยกเอาตู้นิรภัย หรือจะนำเซิฟเวอร์ของกล้องวงจรปิดไปด้วย โดยตระเวนก่อเหตุลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ จากภาคใต้-ภาคเหนือ
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ก.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร ภาค9 ,สงขลา และ สตูล ได้สนธิกำลังกัน สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ ตามหมายจับศาลจังหวัดสตูล โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ โดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น มอมหน้าหรือทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหน้าหรือจำหน้าได้ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป, โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม, ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
พร้อมตรวจยึดสิ่งของที่ใช้ในการกระทำผิดจำนวนหลายรายการได้แก่ 1.รถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซู ทะเบียน ผฉ 5771 สงขลา จำนวน 1 คัน 2.รถ จยย. ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน 3.หมวกโม่งลิง จำนวน 15 ใบ 4.ถุงมือผ้ายาว จำนวน 7 คู่ 5.รองเท้าหุ้มส้น แบบสตั๊ดดอย สีดำ จำนวน 6 คู่ 6.กระเป๋าเป้ จำนวน 5 ใบ 7.ไฟฉาย แบบคาดศีรษะ จำนวน 3 อัน 8.ชะแลงเหล็กยาว จำนวน 2 อัน 9.ไขควง จำนวน 3 ด้าม 10.กรรไกรตัดเหล็ก จำนวน 5 อัน 11.เครื่องเจียร์ไฟฟ้า จำนวน 3 ตัว 12.ฆ้อน จำนวน 3 ด้าม 13.เลื่อยตัดเหล็ก จำนวน 1 คัน14.ใบเลื่อย จำนวน 16 แผ่น 15.คีม จำนวน 2 อัน16.เสื้อผ้า จำนวนหนึ่ง 17.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง 18.นาฬิกาหรู จำนวน 8 เรือน 19. น้ำหอม จำนวน 3 ขวด
ผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าได้ร่วมกันก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องมาจำนวนหลายครั้ง ในช่วงระหว่างปี 2562 – 2565 รวมมากกว่า 20 ครั้ง ประกอบด้วย
– ในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 12 ครั้ง ได้แก่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 3 ครั้ง และ จ.สตูล จำนวน 9 ครั้ง
– ในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 1 ครั้ง ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี
– ในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 7 ครั้ง ได้แก่ จ.ลำปาง 1 ครั้ง และ จ.เชียงราย 6 ครั้ง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถตรวจยึดทรัพย์สินที่ถูกลักเอาไป เพื่อนำมาส่งมอบคืนแก่ผู้เสียหาย ประเภทนาฬิกา หรู จำนวน 8 เรือน มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท โดยจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งขยายผลหาผู้ร่วมกระทำความผิด รวมทั้งผู้ที่รับซื้อทรัพย์สิน และจะเร่งติดตามทรัพย์สินที่ยังไม่ได้คืนมาอย่างเร่งด่วน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นอีกคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน เนื่องจากมีการก่อเหตุต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ มูลค่าความเสียหายค่อนข้างสูง จึงได้มีการสั่งการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อลงมือรวบรวมพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุในหลายพื้นที่รวมกัน นำหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และภาพจากกล้องวงจรปิดนำมาวิเคราะห์ข้อมูล จนสามารถระบุแผนประทุษกรรมที่มีลักษณะคล้ายกัน และนำมาสู่การระบุตัวและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ จากนี้จะสั่งการให้ทุกพื้นที่ที่มีเหตุลักทรัพย์ที่มีพฤติการณ์คล้ายกับคดีดังกล่าว นำพยานหลักฐานมาเปรียบเทียบเพื่อขยายผลในการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ก่อเหตุเพิ่มเติม รวมทั้งติดตามผู้ร่วมขบวนการ และผู้รับซื้อของที่ได้จากการลักทรัพย์ต่อไป