จับอีก 1 ทีมฆ่าทนาย’มานพ’อดีต สส.ระยอง ส่งกองปราบเค้นหลังปฎิเสธข้อหา”สนับสนุนร่วมฯ”

เมื่อวันที่ 7 ก.ย. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผช.ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2 , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ,และเจ้าหน้าที่ กก.ปพ.บก.ป.(หนุมาน) , กก.ปพ.บก.สส.ภ.2 หรือบูรพา 491และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.2 ร่วมกันจับกุมตัว นายเสถียร บุญกล้า อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1850/2565 ลงวันที่ 6 ก.ย. 65 ข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”จับกุมได้ที่ ลานจอดรถ รพ.จังหวัดระยอง อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการฆ่านายมานพ อดีต ส.ส.เขต 3 จ.ระยอง

สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 65 คนร้าย ใช้อาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 ยิง นายมานพ เสถียรเขตต์ จำนวน 3 นัด จนเสียชีวิตเหตุเกิดที่ปั๊มน้ำมัน ช.อำนวยทรัพย์ปิโตเลี่ยม บ้านค่าย จ.ระยอง กระทั่งต่อมา เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 65 พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.เปิดปฏิบัติการ บุกจับกุมตัว นายปิติ นิชรัตน์ (มือยิง) ที่ปั๊มน้ำมันคอลเทกซ์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จังหวัดกรุงเทพ และ จับกุมตัวนายนิติพนธ์ ฉ่ำชื่น (คนพาหลบหนี) ที่ริมถนนภายในหมู่บ้าน หน้าฌาปนสถานบ้านถิ่น ต.บ้านถิ่น อ.เมือง จ.แพร่

ต่อมาได้ขยายผลจากการจับกุมและนำกำลัง บก.สส.ภ.2 , บก.สส.ภ.จว.ระยอง,กก.2 บก.ป. ปิดล้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยกว่า 8 แห่ง พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีหลายรายการ โดยได้พบพยานหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ปืนลูกโม่ ยี่ห้อ สมิทแอนด์เวสสัน สีดำ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก ที่บ้านเลขที่ 112/45 ม.1 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จากการตรวจสอบเปรียบเทียบปืนกระบอกดังกล่าวกับหัวกระสุนที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้วยืนยันว่า เป็นปืนที่ใช้ก่อเหตุซึ่งปรากฏพยานหลักฐานยืนยันถึง นายเสถียร ว่าเป็นผู้จัดหาและสั่งซื้อปืนกระบอกนี้ โดยซื้อมาในช่วงก่อนเกิดเหตุเพียง 10 วัน จึงรวบรวมพยานหลักฐานกระทั่งศาลอนุมัติหมายจับกระทั่งสามารถติดตามจับกุมตัวได้

จากการสอบสวน นายเสถียรให้การปฎิเสธว่าเป็นลูกจ้างอัตราจ้างของ อบจ.ระยอง ปัจจุบัน นายปิยะ ปิตุเตชะ หรือนายกช้าง ได้ให้มาช่วยขับรถให้โดยรถกระ อีซูสุ สีขาว (มีสติ๊กเกอร์ อบจ.ระยอง) ทะเบียน กร 3868 ระยอง ที่ขับขี่ขณะถูกจับกุมเป็นรถประจำตำแหน่ง

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายเสถียรเพื่อไปสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปรามดำเนินการตามกฎหมายต่อไป