พ่อห่วงลูกสาวโดนหลอกไปทำงานที่เขมรก่อนเรียกค่าไถ่ 9 หมื่นบาท ร้องกองปราบฯ

เวลา 11.30 น. วันที่ 20 พ.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. พ่อร้องสื่อฯ หลังลูกสาววัย 17 ปี ถูกใช้แรงงานอย่างหนักที่ปอยเปต ร้องขอกลับไทยแต่โดนนายจ้างเรียกค่าไถ่ 90,000 บาท พร้อมยื่นคำขาด หากไม่มีเงินให้จะถูกส่งต่อไปขายที่อื่น

นายพงษกร ปิติสาน บิดา น.ส.เชอรี่ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี เข้าพบ ร.ต.อ.วิทธวัช สาคะรินทร์ รอง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป.เพื่อติดตามความคืบหน้าหลังจากที่เคยเข้ามาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม กรณีที่บุตรสาวอายุ 17 ปี ถูกนายหน้าหลอกไปทำงานที่เมืองปอยเปต อำเภออูร์ชเรา จังหวัดบันทายมีชัย ประเทศกัมพูชา ไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับร้องเรียนกับสื่อมวลชนช่วยอีกทางหนึ่ง

นายพงษกร เล่าว่า น้องเชอรี่ บุตรสาวได้ติดต่อกับนายหน้าชื่อนายสุชัจจ์(สงวนนามสกุล) ผ่านทางแอพปลิเคชันไลน์ว่าจะให้ไปทำงานในตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยจะได้เงินเดือน เดือนละ 17,000 ถึง 18,000 บาท ซึ่งก็ได้เตือนบุตรสาวว่าอย่าไปหลงเชื่อง่ายๆ เพราะเห็นว่าได้เงินเดือนสูงผิดปกติ แต่บุตรสาวก็ยืนยันจะไปทำงานดังกล่าว เพราะเห็นว่าได้เงินเดือนดี อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักซึ่งอยู่ในอำเภอเมืองปทุมธานี โดยเดิมทีบุตรสาวทำงานอยู่ร้านขายของทุกอย่าง 20 บาท แต่ปรากฏว่าร้านถูกเวนคืนที่ดินจึงถูกเลิกจ้าง

ต่อมา เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา นายสุชัจจ์ได้ขับรถมารับบุตรสาวพร้อมกับพูดจาให้ความเชื่อมั่นกับญาติว่า จะดูแลเป็นอย่างดี ได้ไปทำงานอย่างแน่นอน เพราะเคยส่งคนไปทำงานแล้วหลายคน จากนั้นไม่กี่วันถัดมา บุตรสาวก็ได้โทรศัพท์มาบอกว่าอยากกลับบ้าน ไม่อยากทำงานแล้ว เพราะไม่ได้เป็นอย่างที่บอก ที่สำคัญคือไม่ได้พาไปที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี แต่กลับพาไปที่เมืองปอยเปต

จากนั้นก็ได้มีการเจรจาพูดคุยกับนายหน้าที่อยู่ในประเทศกัมพูชา เพื่อขอให้ส่งตัวบุตรสาวกลับ โดยนายหน้าดังกล่าวได้เรียกเงิน 40,000 บาท เพื่อแลกกับการให้นำตัวมาส่ง แต่ตนเองมีเงินไม่พอจึงโอนเงินไปให้ 20,000 บาท จากนั้นในหน้าได้ติดต่อกลับมาแล้วเรียกเงินไถ่ตัวเพิ่มอีก 90,000 บาท ซึ่งตนเองพยายามอธิบายว่าไม่มีเงินมากพอที่จะให้ได้ จึงถูกข่มขู่ว่าถ้าไม่จ่ายเงินก็จะนำบุตรสาวไปขาย ซึ่งจนถึงตอนนี้ตนเองไม่สามารถติดต่อพูดคุยกับบุตรสาวได้เลย

นายพงษกร ยังบอกว่า หลังเกิดเรื่องได้พยายามไปติดต่อแจ้งความกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สภ.ปากตลองรังสิต , กระทรวงการต่างประเทศ , กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกองบังคับการปราบปราม แต่ก็ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยได้ โดยอ้างว่าเกิดเหตุนอกราชอาณาจักร จนตนเองมืดแปดด้านไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือกับใคร จึงมาร้องเรียนสื่อมวลชนเพื่อช่วยเผยแพร่ข่าว รวมทั้งติดตามความคืบหน้ากับทางกองบังคับการปราบปราม หลังจากได้มาร้องทุกข์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว