พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรียนชี้แจงถึงแนวทางการขับเคลื่อนและการดำเนินการของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปปง.ตร.)
ในปัจจุบันยังคงมีการกระทำความผิดของอาชญากรในหลายรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน และหลังจากที่ได้ทรัพย์สินมาจากการกระทำความผิดแล้ว ก็จะทำให้เกิดอาชญากรรมรูปแบบของการฟอกเงินตามมา ซึ่งการฟอกเงินนั้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และยังส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในหลายๆ ด้านอีกด้วย อีกทั้งในปัจจุบันกลุ่มอาชญากรต่างๆ ก็ได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบของการฟอกเงินให้มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย อีกทั้งคดีในลักษณะนี้นั้นมีความแตกต่างจากคดีทั่วไป ต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง และต้องใช้ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เป็นเวลานาน เนื่องจากความซับซ้อนและปริมาณของหลักฐานต้องใช้เป็นจำนวนมาก
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงพิษภัยของปัญหาดังกล่าวและเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จึงได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปปง.ตร.) และมอบหมายให้ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อควบคุมสั่งการ และประสานการปฏิบัติร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพ และเร่งรัดทำการสืบสวนสอบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน และมูลฐานความผิดที่เชื่อมโยงถึงการฟอกเงิน รวมถึงนายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายอย่างจริงจังต่อเนื่องเด็ดขาด เพื่อให้ได้ผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรมต่อไป
โดยจากข้อมูลสถิติของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2564 ได้มีการตรวจสอบพบความผิดมูลฐานและความผิดฐานฟอกเงินรวมกว่า 44,000 คดี ซึ่งมูลฐานความผิดสูงสุดที่มีการตรวจพบคือความผิดมูลฐานเกี่ยวกับยาเสพติด โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนและติดตามผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายต่อไป
ในการบังใช้กฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงินนั้นจะยึดเอา พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เป็นหลัก ซึ่งได้มีการกำหนดมาตรการพิเศษไว้ทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง โดยมาตราการทางแพ่ง คือ การขอให้ทรัพย์สินที่เกิดจากการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดิน และมาตรการทางอาญา คือ ความผิดอาญาฐานฟอกเงิน รวมถึงผู้สนับสนุน ช่วยเหลือ พยายาม และสมคบกันเพื่อฟอกเงินด้วย และมีการกำหนดโทษให้ผู้ที่กระทำความผิดฐานฟอกเงิน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวต่อว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งรัดทำการสืบสวนปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ทั้งนี้ขอให้อยู่ในเงื่อนไขความปลอดภัยในการป้องกันโรคโควิด-19 ตามหลักทางสาธารณสุขและหลักทางยุทธวิธี พร้อมยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนหากพบเบาะแสหรือการกระทำความผิดต่างๆ สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง