ตร. ชี้แจงความคืบหน้าคดีหลอกลงทุน Nas App พร้อมเตือนภัยการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีหลอกลงทุน Nas App และเตือนภัยการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์  สร้างความเสียหายซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชนห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยเกี่ยวกับภัยการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้ประสานการปฎิบัติ พร้อมดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล พร้อมสั่งการและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้ถึงภัยทางออนไลน์ และให้ทำการสืบสวนสอบสวน  ปราบปรามอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม

โดยในปัจจุบันที่ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับนโยบายของหน่วยงานและบริษัทต่างๆ ที่ส่งเสริมการ Work From Home ทำให้ประชาชนต้องอยู่บ้าน และทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีหรือกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อหาประโยชน์ในทางทุจริต  การหลอกลวงหลากหลายรูปแบบทั้งการหลอกลงทุน การหลอกขายสินค้า  สร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง เช่น Nas App ปัจจุบันมีผู้เสียหายที่ได้แจ้งข้อมูลผ่าน Google Form และ QR Code มายัง กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) แล้ว 5,400 กว่าราย  พบมูลค่า    ความเสียหาย 680 กว่าล้านบาท

 ความคืบหน้าในการดำเนินคดี ขณะนี้  บช.สอท. อยู่ระหว่างทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล      พิสูจน์ทราบถึงตัวกลุ่มผู้ต้องหาที่กระทำความผิด รวบรวมข้อมูล พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สอบปากคำพยาน  ไปแล้วหลายปาก โดยจะเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายอย่างถึงที่สุดต่อไป

ทั้งนี้ขอให้ผู้เสียหายเตรียมเอกสาร สลิปการโอนเงิน ข้อมูลการแชท หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง             เพื่อประกอบการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน   โดยจะมีการประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียหายตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

การกระทำดังกล่าวนอกจากจะส่งผลกระทบในวงกว้างและเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี  ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงลงทุน การซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ  ขอให้ประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ดีเสียก่อน  หลีกเลี่ยงการลงทุนหรือข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินกว่า      จะเป็นไปได้

ทั้งนี้หากประชาชนพบข้อมูลเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งข้อมูลมายัง บช.สอท. หรือหมายเลขสายด่วน 191 และ 1599  ได้ตลอด 24 ชั่วโมง