ตำรวจสอบสวนกลางรวบมิจฉาชีพสารพัดอ้าง ตุ๋นเหยื่อสูญเงินหลักล้าน

กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป., พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ, พ.ต.ท.สาธิต สมานภาพ, พ.ต.ท.ศราวุธ จันต๊ะวงค์, พ.ต.ท.อลงกต คชแก้ว, พ.ต.ท.ก่อเกียรติ วุฒิจำนง รอง ผกก.1 บก.ป.

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ต.ปภินวิทย์ อุดมพร สว.กก.๑ บก.ป., ร.ต.อ.ธีรพงษ์ ตาบัวตูม ร.ต.ท.พรหมธาดา ฮามคำไพ รรท.รอง สว.กก.1 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป.

ร่วมกันจับกุม นายพลกร (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามตามหมายจับของศาลอาญาธนบุรี ที่ 500/2564 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุลคลใดบุคคลหนึ่ง และไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงานหรือใชัยศตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ”

สถานที่จับกุม อพาร์ทเมนท์ย่านซอยกอไผ่ ถนนเทพประสิทธิ์ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

พฤติการณ์ สืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ นายพลกรฯ (ผู้ต้องหา) ได้อ้างตัวเป็นตำรวจกองปราบหลอกลวงผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มกับผู้ต้องหา โดย ผู้ต้องหาอ้างกับผู้เสียหายว่าตนเองได้ไปเซ้งร้านอาหารแห่งหนึ่งมา และต้องการให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารดังกล่าวด้วย เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดี ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อตกลงร่วมลงทุนกับผู้ต้องหา ต่อมาเมื่อผู้เสียหายสอบถามถึงผลตอบแทนในการลงทุน ผู้ต้องหากลับขอผัดผ่อนการจ่ายผลตอบเเทนเรื่อยมา โดยมักจะใช้กลอุบายหลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อต่างๆ นานา เช่น หลอกว่าตนเองรู้จักสนิทคุ้นเคยกับ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางคนปัจจุบัน ทำให้ตนเองมีความน่าเชื่อถือ และทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นตำรวจกองปราบจริง โดยผู้ต้องหาจะส่งหลักฐานการพูดคุยระหว่างไลน์ที่ใช้ชื่อว่า “ผู้การกองปราบ”, “พี่ก้อง”, “THE KONG” กับไลน์ของผู้ต้องหาให้ทางผู้เสียหายดู เพื่อให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าผู้ต้องหาพูดคุยกับ พล.ต.ท.จิรภพฯ จริง โดยหลักฐานการพูดคุยดังกล่าว เป็นหลักฐานที่ผู้ต้องหาสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด โดยมีทั้งการใช้ชื่อและภาพของ พล.ต.ท.จิรภพฯ มาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ไลน์ และนอกจากนี้ผู้ต้องหายังมีการแอบอ้างอีกว่าตนเองเป็นหลานของนายทหารระดับสูง ซึ่งตนเองกำลังจะได้รับมรดกจากนายทหารคนดังกล่าว ยืนยันว่าตนเองสามารถนำเงินผลตอบเเทนมาคืนให้กับผู้เสียหายได้อย่างแน่นอน

โดยในระหว่างที่ผู้ต้องหาขอผัดผ่อนเงินผลตอบเเทนของผู้เสียหายเรื่อยมานั้น ผู้ต้องหายังคงใช้กลอุบายอื่นๆ หลอกลวงผู้เสียหายอีก ไม่ว่าจะเป็นการหลอกผู้เสียหายให้เชื่อว่าตนเองมีเคราะห์กรรมร่วมกับ ผู้ต้องหา และ พล.ต.ท.จิรภพฯ หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินมาเพื่อทำพิธีแก้กรรมสะเดาะเคราะห์, หลอกลวง ผู้เสียหายให้เชื่อว่าผู้ต้องหากำลังประสบปัญหาทางด้านการเงิน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้หย่ากับภรรยาและได้นำทรัพย์สินไปจำนำกับบุคคลอื่น จึงจำเป็นต้องขอยืมเงินผู้เสียหายเพื่อนำไปไถ่ถอนทรัพย์สินดังกล่าวออกมา

และภายหลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินให้กับทางผู้ต้องหาไปแล้วนั้น ผู้ต้องหากลับขาดการติดต่อกับ ผู้เสียหาย เมื่อทางผู้เสียหายพยายามติดต่อกลับไปหาผู้ต้องหา ก็ไม่สามารถติดต่อได้แต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกหลอก จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากกลอุบายที่ผู้ต้องหาใช้หลอกลวงผู้เสียหาย เป็นเหตุทำให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้กับผู้ต้องหาเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๒ ครั้ง เป็นเงินจำนวนกว่า ๑,๖๐๐๐,๐๐๐ บาท

ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปราม จึงได้ทำการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว หลังจากนั้นจึงได้ดำเนินการเร่งติดตามตัว ผู้ต้องหารายนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ต้องหาที่มีการอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้กลอุบายหลอกลวงผู้เสียหายเป็นจำนวนหลายครั้ง ล้วนเป็นพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสังคม และเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด

ต่อมาวันที่ ๘ ตุลาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบสวนติดตามตัวผู้ต้องหา จนกระทั่งทราบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ต้องหาอยู่บริเวณอพาร์ทเมนท์ในซอยกอไผ่ ถนนเทพประสิทธิ์ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าจับกุมพร้อมตรวจยึดของกลางรวม ๑๑ รายกลาง ดังนี้

  1. สิ่งเทียมอาวุธปืน (ปืนอัดลม) จำนวน ๒ กระบอก
    ๒. สิ่งเทียมอาวุธปืน (ปืนไฟแช็ก) จำนวน 1 กระบอก
    ๓. เครื่องหมายขีดความสามารถหลักสูตรรบพิเศษแขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก และจู่โจมนาวิกโยธิน
    ๔. แหวนสัญลักษณ์ตราแผ่นดิน
    ๕. แหวนสัญลักษณ์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
    ๖. เสื้อกันกระสุน
    ๗. เสื้อกั๊กสีดำมีตรากองบังคับการปราบปราม
    ๘. ภาพถ่ายเคียงธงโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
    ๙. ซองปืนคาดเอวแบบพกซ่อน
    1๐. โทรศัพท์มือถือ จำนวน ๓ เครื่อง
    1๑. เอกสารให้มีและใช้อาวุธปืน
    นำส่งพนักงานสอบสวน กก.๑ บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

จากการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิดของผู้ต้องหาพบว่า ผู้ต้องหายังคงมีหมายจับที่ยังต้องการตัวอีก ๒ หมายจับ ดังนี้
๑. หมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ที่ ๖๓๕/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
๒. หมายจับศาลแขวงดุสิต ที่ ๔๐/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”

กองบังคับการปราบปราม จึงขอฝากเตือนภัยประชาชน อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ท่านสามารถขอตรวจสอบบัตรข้าราชการตำรวจ หรือแจ้งเบาะแสผ่านทางเฟซบุ๊กเพจตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อป้องกันการถูกมิจฉาชีพอ้างตนเป็นตำรวจหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ได้