ปฏิบัติการล่า “คริส” (The Scammer) จอมโจรโคตรปลอมยุค 4G

ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปอท., พ.ต.อ.มนตรี เทศขัน รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์  เลารุจิราลัย ผบก.ป., พ.ต.อ.อธิป พงษ์ศิวาภัย รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. สนธิกำลังในปฏิบัติการล่า “คริส” (The Scammer) จอมโจรโคตรปลอมยุค 4G

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2564 ได้มีผู้เสียหายเข้ามาร้องขอเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ให้ทำการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด กรณีที่ได้ถูกคนร้ายสร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จ ใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี และโซเชี่ยลมีเดีย ตัดต่อข้อความ ไฟล์เสียง แอบอ้างตนเป็นบุคคลใกล้ชิดข้าราชการในหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน ปลอมแปลงเอกสารราชการ เอกสารสำคัญ ปลอมแปลงภาพ ข้อความ และ ข้อความเสียง จากนั้นนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยการกระทำดังกล่าวนั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบทรัพย์สินให้คนร้ายจำนวนหลายครั้ง รวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 2,690,000 บาท  

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป.  พบว่าผู้ต้องหานั้นได้สร้างตัวตนปลอมในโซเชี่ยลมีเดีย มีการแอบอ้างนำภาพดาราชาวต่างชาติหน้าตาดีมาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ โดยใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Chrysilla Celandina Celia สร้างเรื่องราวหลอกลวงว่าตนเองมีฐานะร่ำรวย ประกอบอาชีพเป็นนางแบบ อาศัยอยู่ต่างประเทศ มีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการ เป็นหลานของนักธุรกิจยานยนต์ย่านสาทร เป็นเพื่อนกับพนักงานอัยการ และ รู้จักกับทนายความชื่อดัง จนกระทั่งมีผู้ติดตามตัวตนปลอมในโซเชี่ยลมีเดียของผู้ต้องหากว่า 20,000 คน

หลังจากสร้างตัวตนปลอมในโลกออนไลน์แล้ว ผู้ต้องหาจะทำการหาเหยื่อผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ออนไลน์ โดยจะเลือกเหยื่อจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ เมื่อสามารถสานสัมพันธ์กับเหยื่อได้แล้ว ก็จะแชทพูดคุยกันผ่านแอพพลิเคชั่น โดยในกรณีนี้ผู้ต้องหาได้ยุยง ปลุกปั่น สร้างเรื่องราว ปลอมแปลงแชท ตัดต่อคลิปเสียง เพื่อหลอกลวงคนในครอบครัวผู้เสียหายเกิดความบาดหมาง หวาดระแวงกันเอง สร้างกับดักหัวใจให้กับคนในครอบครัวเพื่อที่ว่าผู้ต้องหาจะได้ทราบความเคลื่อนไหวของทุกคนในครอบครัว เมื่อผู้ต้องหาทราบว่านายธนภณฯ บิดาและสามีของผู้เสียหายนำรถไปใช้ ก็ได้ออกอุบายสร้างเรื่องหลอกลวงว่านายธนภณฯ ติดการพนันอย่างหนักและได้นำรถไปจำนำในตลาดมืด ทั้งนี้ผู้ต้องหาได้อ้างว่าสามารถไถ่ถอนรถคืนมาได้ พร้อมกันนี้ได้ส่งภาพเล่มทะเบียนรถ และเอกสารการจำนำรถที่จัดทำปลอมขึ้นให้นายภควัตฯ บุตรชายและ น.ส.จินตนาฯ ภรรยา ผู้เสียหายดู พร้อมกับพูดจาโน้มน้าวให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนค่าไถ่ถอนรถยนต์เข้าบัญชีของผู้ต้องหาเป็นเงินกว่า 1,530,000 บาท

 นอกจากนี้ยังได้สร้างเรื่องหลอกลวงว่าบิดาของผู้เสียหายติดการพนันอย่างหนัก และได้ออกอุบายให้นำเงินมาเก็บไว้ที่ผู้ต้องหา จน น.ส.จินตนาฯ หลงเชื่อ โอนเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องหา จำนวน 760,000 บาท และนายภควัตฯ ได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 350,000 บาท

ต่อมาผู้ต้องหาได้ทำทีว่าได้ส่งของมีค่าและของแบรนด์เนมหลายชิ้นมาให้ผู้เสียหาย จากนั้นสร้างเรื่องราวใส่ความว่าบิดาของผู้เสียหาย มีนิสัยลักขโมย ลักเอาทรัพย์สินมีค่า เป็นนาฬิกา มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ที่ผู้ต้องหาส่งมาให้ และอ้างว่าได้ไปทำการร้องทุกข์ ณ สถานีตำรวจ ซึ่งจากกรณีดังกล่าวผู้ต้องหาได้จัดทำเอกสารราชการปลอมขึ้นมาหลายฉบับ เช่น บันทึกประจำวันการแจ้งความร้องทุกข์, เอกสารประกอบคดีต่างๆ,หมายจับ และ เอกสารราชการอื่นๆ รวมทั้งปลอมแปลงข้อความแชท แอบอ้างว่ามีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับสูง ปลอมแปลงข้อความเสียงที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจากกรณีดังกล่าวผู้ต้องหาได้เรียกเงินจากผู้เสียหายเป็นเงิน 900,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการในการวิ่งเต้นเคลียร์คดี  จนผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินจำนวน 50,000 บาท เข้าบัญชีผู้ต้องหา ในส่วนที่เหลือผู้เสียหายได้ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน โดยทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 850,000 บาท 

ต่อมาผู้ต้องหาได้ทำทีว่าได้ส่งของมีค่าและของแบรนด์เนมหลายชิ้นมาให้ผู้เสียหาย จากนั้นสร้างเรื่องราวใส่ความว่าบิดาของผู้เสียหาย มีนิสัยลักขโมย ลักเอาทรัพย์สินมีค่า เป็นนาฬิกา มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ที่ผู้ต้องหาส่งมาให้ และอ้างว่าได้ไปทำการร้องทุกข์ ณ สถานีตำรวจ ซึ่งจากกรณีดังกล่าวผู้ต้องหาได้จัดทำเอกสารราชการปลอมขึ้นมาหลายฉบับ เช่น บันทึกประจำวันการแจ้งความร้องทุกข์, เอกสารประกอบคดีต่างๆ,หมายจับ และ เอกสารราชการอื่นๆ รวมทั้งปลอมแปลงข้อความแชท แอบอ้างว่ามีความสนิทสนมกับข้าราชการตำรวจระดับสูง ปลอมแปลงข้อความเสียงที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจากกรณีดังกล่าวผู้ต้องหาได้เรียกเงินจากผู้เสียหายเป็นเงิน 900,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการในการวิ่งเต้นเคลียร์คดี  จนผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินจำนวน 50,000 บาท เข้าบัญชีผู้ต้องหา ในส่วนที่เหลือผู้เสียหายได้ขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน โดยทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 850,000 บาท 

ผู้บังคับบัญชาเล็งเห็นว่าคดีดังกล่าว กลุ่มผู้ต้องหาเป็นคนร้ายสำคัญ ซึ่งได้กระทำการแอบอ้างตนเป็นบุคคลอื่น ปลอมแปลงเอกสาร, เอกสารราชการ, ข้อความภาพ และข้อความเสียง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยประสงค์ต่อทรัพย์สินของผู้เสียหาย โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย สร้างความเสียหายให้แก่หน่วยงานราชการ, หน่วยงานเอกชน, เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ ถือเป็นภัยต่อสังคมและเศรษฐกิจ ในยุคที่อินเตอร์เน็ตและโซเชี่ยลมีเดียมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไปเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนคนอื่นๆตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้อีก จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ภาษีเจริญ ร่วมกันดำเนินการจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้เร่งสืบสวนขยายผลเพื่อหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าว เนื่องจากในคดีนี้ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมด มีการใช้เทคโนโลยีในการตัดต่อข้อมูล ภาพถ่าย คลิปเสียง หลอกล่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อส่งมอบทรัพย์สินให้ โดยที่ผู้ต้องหาเองไม่จำเป็นต้องออกจากที่หลบซ่อนตัวแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีการออกอุบายล้วงข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ และให้บุคคลที่สามเป็นผู้ดำเนินการรับ-ส่งสิ่งของและเอกสารแทนตนเองมาโดยตลอด จากการตรวจสอบยังพบอีกว่าผู้ต้องหาเคยมีประวัติถูกดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.2553 แต่สามารถหลบหนีการจับกุมจนกระทั่งหมายจับหมดอายุความในปี พ.ศ.2563 

ในคดีนี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานนานกว่า 2 เดือน จนกระทั่งทราบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในครั้งนี้ คือ 

1. น.ส.สุนันทินีฯ อายุ 33 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.343/2564 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู่อื่น”

2. น.ส.รัชนีฯ อายุ 63 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ จ.344/2564 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู่อื่น”

โดยในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป.และเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ปราบปราม

ผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สตช. นำกำลังเข้าทำการตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 5 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นแม่-ลูก ที่เป็นตัวการในคดีนี้ได้จำนวน 2 ราย พร้อมกับตรวจยึดของกลางจำนวน 9 รายการ แบ่งเป็น โทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง, แท็บเล็ต จำนวน 1 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ จำนวน 1 เครื่อง, สมุดบัญชี จำนวน 1 เล่ม, บัตรเอทีเอ็ม จำนวน 1 ใบ และเอกสาร ซึ่งน่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ภาษีเจริญ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

ซึ่งจากการตรวจสอบพยานหลักฐานเบื้องต้น พบว่าผู้ต้องหาได้มีการตัดต่อรูปภาพของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ และหน่วยงานราชการอื่นๆ ไว้ด้วยกันหลายรูปภาพ ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาอาจมีการใช้ภาพตัดต่อดังกล่าว แอบอ้างสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตนเองเพื่อใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหามีการเปิดบัญชีแอพลิเคชั่นไลน์ เฟซบุ๊ก และแอพลิเคชั่นหาคู่ แชทพูดคุยกับเหยื่อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติรวมกว่า 100 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ทำการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดต่อไป

เนื่องจากในปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพ ใช้ช่องทางออนไลน์ในการฉวยโอกาสปลอมแปลงข้อมูลหรือ เอกสารขึ้นทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด รวมถึงแอบอ้างหน่วยงานราชการ, หน่วยงานเอกชน ออกอุบายหลอกลวงว่ารู้จักสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โดยประสงค์ต่อทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ประชาชนหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับความเสียหาย กองบังคับการปราบปราม จึงขอฝากเตือนภัยประชาชน สำหรับการใช้แอพลิเคชั่นและการรับข้อมูลข่าวสารผ่านทางช่องทางออนไลน์ต่างๆ ท่านควรใช้เทคโนโลยีความระมัดระวัง ตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ หากมีข้อสงสัยควรตรวจสอบจากหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานเอกชนนั้นๆ โดยตรง ก่อนที่ตัดสินใจเชื่อข้อมูลข่าวสารใดๆ ที่ท่านได้รับผ่านทางช่องทางออนไลน์หรือโซเชี่ยลมีเดีย หากประชาชนท่านใดเคยติดต่อหรือพูดคุยกับบุคคลตามเฟซบุ๊กที่มีการแอบอ้าง ให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพทั้งนี้สามารถแจ้งข้อมูลมายังเฟซบุ๊คเพจกองปราบปรามได้ทันที