ข่าวปลอม กรณี กทพ. ปิดการจราจรทางลงถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อให้ตำรวจใช้พื้นที่ทางด่วนทำร้ายผู้ชุมนุม

วันที่ 13 ส.ค. 64 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจพบข่าวปลอมเพิ่มเติม 1 กรณีคือ

กรณี กทพ. ปิดการจราจรทางลงถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อให้ตำรวจใช้พื้นที่ทางด่วนทำร้ายผู้ชุมนุม นั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบกับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าเป็นข่าวปลอม

โดยทางการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวว่า การปิดการจราจรบริเวณทางลงถนนวิภาวดีรังสิต (ดินแดง) ของทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางลงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (พหลโยธิน1) ของทางพิเศษศรีรัช เนื่องจากบริเวณดังกล่าว มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมาก และมีการปิดการจราจรในถนนวิภาวดีขาออก ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางพิเศษ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาจราจรติดขัด

กทพ. จึงให้ผู้ใช้ทางพิเศษเลี่ยงไปใช้ทางลงอื่นที่ใกล้เคียง ซึ่งกทพ. ได้มีการประชาสัมพันธ์ในเรื่องดังกล่าวผ่านทางสถานีวิทยุข่าวสารเพื่อการจราจร จส.100 สวพ.FM.91 รวมถึงได้มีการขึ้นข้อความประชาสัมพันธ์ผ่านทางป้ายปรับเปลี่ยนข้อความ (VMS) บนทางพิเศษ เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้า ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำเส้นทางแก่ผู้ใช้ทางพิเศษในบริเวณดังกล่าว

อีกทั้งการปิดการจราจรดังกล่าว ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของ กทพ. แต่อย่างใด

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ www.mot.go.th หรือโทร. 02 2833000 และสายด่วย 1543

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : การปิดการจราจรดังกล่าวดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของ กทพ. และปิดการจราจรเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทาง และไม่ก่อให้เกิดปัญหาจราจรติดขัด

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน
5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”