วันที่ 12 ส.ค. 64 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่ามีการตรวจพบข่าวปลอมเพิ่มเติม 1 กรณี คือ
กรณี การส่งต่อข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเรื่อง ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกา นั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ ยืนยันว่าเป็นข่าวปลอม
จากกรณีที่มีการให้ข้อมูลระบุว่า ศาลฎีการยกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกา โดยหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แพ้คดีในศาลเพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวัคซีนทั้งหมดของพวกเขาปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน และไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบ mRNA เพราะจะรบกวนสารพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยตรงนั้น
ทางกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2564 สำนักข่าว USA Today ของสหรัฐฯ (USA Today Fact check: False claim about Supreme Court and vaccination) ได้รายงานว่า กรณีข่าวศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกา เป็นข่าวปลอมโดยมีที่มาจากสหรัฐฯ
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงการต่างประเทศ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.mfa.go.th หรือโทร 02 2035000
บทสรุปของเรื่องนี้ : สำนักข่าว USA Today ของสหรัฐฯ ได้ออกมารายงานข่าวกรณี ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกาแล้วว่าเป็นข่าวปลอม โดยมีที่มาจากสหรัฐฯ
รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน
5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”