ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.เพิ่มพูล ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์), พล.ต.ท.ยรรยง เวซโอสถ ผบช.ก.5, พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเตซ รอง ผบช.ก (หัวหน้าชุดที่ 2 ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์, หัวหน้าชุดส่วนปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ ร้ายสำคัญ),พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พล.ต.ต.ไพโรจน์ มังคลา ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด,พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.4, พ.ต.อมีชัย กำเนิดพรม, พ.ต.อ.มนตรี เทศขัน, พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ,พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป, พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.วิโรจน์ สีน้ำเงิน, พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.ส.ภ.4, พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป., ว่าที่ พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก. 3 บก.ป, พ.ต.อ.เนติวัฒน์ จันทรา ผกก.สภ.เมืองร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.อัครวินต์ สุคนธวิท ผกก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.4 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 , เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด , เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ, เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเจ้าหน้าที่ ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายสำคัญ ร่วมกันปฏิบัติการทลายแก๊งเพจ “รับจำนำรถร้อยเอ็ด” ผู้มีอิทธิพลเงินกู้โหด
สืบเนื่องมาจาก เมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2564 มีประชาชนเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ด ร้องเรียนไปยังตำรวจภูธรภาค 4 และร้องเรียนผ่านเพจกองปราบปรามว่ามีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด อาศัยช่วงของการแพร่ระบาดของโควิต-19 ที่ประชาชนส่วนใหญ่ประสบปัญหาทางด้านการเงิน ปล่อยเงินกู้นอกระบบ เรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ผ่านเพจเฟซบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า “รับจำนำรถร้อยเอ็ด” และไลน์ชื่อว่า bm 6282 (https:/www.facebook.com /Phakin.bm 6282) โดยมีการรับจำนำเอารถยนต์มาเป็นสิ่งของค้ำประกันเงินกู้ อีกทั้งยังมีพฤติการณ์บ่ายเบี่ยงไม่รับชำระดอกเบี้ยเงินกู้ และไม่ให้ไถ่ถอนรถยนต์ที่นำมาจำนำคืนแต่อย่างใด จึงทำให้ประชาชนในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง ได้รับความเสียหายจากการกู้ยืมเงิน และประสบปัญหาไม่สามารถไถ่ถอนรถยนต์กลับคืนมาได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองร้อยเอ็ด จึงได้ประสานมายังกองบังคับการปราบปราม และตำรวจภูธรภาค 4 ขอให้ร่วมดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิดตังกล่าว เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่มีความยุ่งยาก สลับชับซ้อน และน่าเชื่อว่าอาจจะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องร่วมกันบูรณาการจากหลายหน่วยงาน
จากพฤติกรรมของกลุ่มผู้มีอิทธิพลดังกล่าว ที่มีการปล่อยเงินกู้นอกระบบ โดยเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการเบียดบังเอารถยนต์ที่ผู้เสียหายนำมาจำนำไปออกขายทอดตลาด ล้วนเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายแต่อย่างใด และยังเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประซาชนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.เพิ่มพูล ชิดชอบ ผอ.ศปจร.ตร. ปฏิบัติงานโดย เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 6 ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปราม โดยมี พล.ต.ตจิรภพ ภูริเดช รอง ผบซ.ก. เป็นหัวหน้าชุด จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. เร่งสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้มีอิทธิพลตังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว โดยให้ร่วมกันประสานงานกับตำรวจภูธรภาค 4 โดยตลอดทุกขึ้นตอน
ตำรวจภูธรภาค 4 ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.๓ บก.ป. ลงพื้นที่ทำการสืบสวน จนกระทั่งทราบว่าเพจเฟซบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า “รับจำนำรถร้อยเอ็ด” มีการหลอกให้ประชาชนกู้เงินนอกระบบ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ10ต่อเดือน และมีการหลอกให้เอารถยนต์มาค้ำประกันเงินกู้ ในลักษณะของการจำนำ ซึ่งเมื่อแก้งดังกล่าวได้รับรถยนต์ที่ผู้เสียหายนำมาจำนำไปแล้วนั้น จะนำรถยนต์ตังกล่าวไปขายต่อในรูปแบบของรถหลุดจำนำ โดยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบอีกว่า มีผู้เสียหายที่ถูกแก๊งตังกล่าวฉ้อโกงและเบียดบังเอารถยนต์ที่นำไปค้ำประกันเงินกู้ ขายผ่านเพจเฟซบุ๊คอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
โดยมีผู้เสียหายรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2563 ผู้เสียหายได้ติดต่อไปยังเพจเฟซบุ๊ค “รับจำนำรถร้อยเอ็ด” และได้นำรถยนต์ กระบะยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีโก้ ไปจำนำกับแก๊งดังกล่าว โดยได้ยอดเงินกู้เป็นเงินจำนวน 40,000 บาท ซึ่งมีการนัดรับรถกันที่ห้างสรรพสินค้าใน จ.ร้อยเอ็ด โดยภายหลังจากส่งมอบรถกันแล้ว ผู้เสียหายได้รับเงินกู้เพียง 36,000 บาทเท่านั้น และยังต้องจ่ายดอกเบี้ย 4,000 บาท/เดือน (ร้อยละ 10 ต่อเดือน) ซึ่งต่อมาเมื่อผู้เสียหายต้องการจะจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ กลับถูกแก๊งเงินกู้ปฏิเสธ ไม่รับเงินดอกเบี้ยของผู้เสียหาย และเมื่อติดต่อขอไถ่ถอนรถที่นำไปจำนำคืน ก็ถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จนกระทั่งทราบภายหลังว่ารถของตนถูกประกาศขายที่เพจเฟซบุ๊คอื่นๆ ในราคา 155,000 บาท หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายด้วยความเดือดร้อน
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ทราบว่าแก๊งเงินกู้ดังกล่าว มีนายวรวุธ หรือแบงค์ฯ เป็นนายทุน คอยสั่งการ และเปิดบัญชีในการรับโอนเงิน และมี นายธีรัศป์ชณลฯ เป็นผู้นำเงินไปปล่อยกู้ พร้อมกับทำหน้าที่คอยรับส่งรถที่ผู้เสียหายนำมาค้ำประกันเงินกู้ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังตรวจสอบพบแหล่งพักรถที่ผู้ต้องหานำรถมาพักไว้รอเพื่อเตรียมไว้ส่งขายต่อจำนวน 5 จุด ในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นและหมายจับจากศาลจังหวัดร้อยเอ็ด
โดยในวันที่ 6 กรกฎาคม2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 4 ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบเป้าหมายในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จำนวน 5 จุด
โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน ๑ ราย คือ นายวรวุฒิหรือแบงค์ฯ อายุ ๓๕ ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ 198/2564 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งถูกกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางในการกู้ยืมเงิน อันเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด”
พร้อมตรวจยึดของกลางที่ เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้จำนวนหลายรายการ มูลค่ารวมประมาณ 35 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. รถยนต์ของกลาง จำนวน 70 คัน
2. รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน
3. อาวุธปืน จำนวน – กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนจำนวน 16 นัด
4. ยาบ้า จำนวน 48 เม็ด
5. เอกสารอื่นๆ รวมกว่า 52 รายการ
หลังจากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ด ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในส่วนของนายชีรัศปัชณลฯ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่อยู่นั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
จากการสอบถามนายวรวุฒิฯ (ผู้ต้องหา) ให้การว่า ตนได้เปิดเพจ “รับจำนำรถร้อยเอ็ด” เพื่อปล่อยเงินกู้จริง โดยออกอุบายให้ผู้เสียหายนำรถยนต์มาจำนำกับตน ซึ่งภายหลังจากที่ตนได้รับรถยนต์จากผู้เสียหายแล้ว ตนจะนำรถยนต์ตังกล่าวมาขำแหละขึ้นส่วนที่บ้านพักของตน ที่บ้านหมู่ที่ 5 ต.เหนือเมือง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด (ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบชิ้นส่วนรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับรถยนต์อยู่ที่บ้านพักดังกล่าวเป็นจำนวนมาก) นอกจากนี้ผู้ต้องหายังให้การเพิ่มเติมอีกว่า ตนจะนำรถยนต์ที่ได้มาจากการรับจำนำไปพักไว้ที่บ้านพักและ โกดัง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ก่อนจะนำออกมาขายตามเพจต่างๆ โดยทำมาแล้วเป็นเวลานานกว่า 2 ปี
ตำรวจภูธรภาค 4 และกองบังคับการปราบปราม จึงขอฝากเตือนภัยพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 ที่อาจทำให้พี่น้องประชาชนหลายคนต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินจนมีบางรายตัดสินใจขอกู้ยืมเงิน หรือนำสิ่งของไปจำนำกับผู้อื่น ขอให้ท่านตรวจสอบสถาบันการเงิน กลุ่มบุคคล เพจ หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ ให้แน่ใจเสียก่อน ว่าได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพื่อจะไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสดังกล่าว ปล่อยเงินกู้นอกระบบ หลอกให้เอารถยนต์มาค้ำประกันเงินกู้ แต่ภายหลังกลับนำรถยนต์ของท่านไปขายต่อ ทำให้ท่านได้รับความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นและหากประชาชนท่านใดพบพฤติการณ์ของมิจฉาชีพในลักษณะข้างต้น ท่านสามารถแจ้งเบาะแสเข้ามาได้ที่เพจกองปราบปราม หรือสายด่วน 1195 หรือ แจ้งได้โดยตรงกับตำรวจภูธรภาค 4 หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจใกล้บ้านท่านได้ทันที และสำหรับท่านใดที่ประสงค์จะแจ้งข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่สายด่วน 1192