ปฏิบัติการช่วยเหลือเหยื่อค่าไถ่โหด (CSD Hostage Rescue Operation)

ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. , พ.ต.ท.ปิยพล แป้นแก้ว, พ.ต.ท. วริศร มัจฉา, พ.ต.ท.หัตถพร ทองคำ, พ.ต.ต.อภิชาติ อินยอด สว.กก.6 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.6บก.ป. ร่วมกันปฏิบัติการเข้าช่วยเหลือบุคคลถูกลักพาตัวเรียกค่าไถ่ โดยสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ จำนวน 4 คน ได้แก่
1.นายอรรถพันธ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี
2.นายนายอภิสิทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี
3.นายสุทธิรักษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี
4.นายสิทธิพงษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ใดให้ได้มาซึ่งค่าไถ่, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าและยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และ มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”

พร้อมด้วยของกลาง
1.อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 แสตนเลส (ไม่มีทะเบียน) จำนวน 1 กระบอก
2.เครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 29 นัด
3.เครื่องกระสุนปืน ขนาด 38 จำนวน 44 นัด
4.เครื่องกระสุนปืน ขนาด 11 มม. จำนวน 7 นัด รวมกระสุนปืนทั้งหมด 80 นัด
พร้อมด้วยของกลางเป็นยาเสพติด (ยาไอซ์ และกัญชา) อีกหลายรายการ

พฤติการณ์ในการจับกุมกล่าวคือ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2564 เวลาประมาณ 11.00 น. น.ส.จินดาฯ อายุ 48 ปี มาร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.6 บก.ป.ขอให้ช่วยสืบสวนหาตัวนายจาฎพันธุ์ฯ อายุ 24 ปี บุตรชาย ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายที่ยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ใช้กำลังขู่บังคับจับตัวนายจาฎพันธุ์ฯ จากรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.พัทลุง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2564 เวลาประมาณ 13.45 น. โดยคนร้ายได้นำตัวนายจาฎพันธุ์ฯ ขึ้นรถยนต์ของกลุ่มคนร้ายแล้วขับหลบหนีไป โดยไม่ทราบว่าพาตัวไปที่ใด

ต่อมากลุ่มคนร้ายได้โทรศัพท์ติดต่อ น.ส.จินดาฯ เพื่อเรียกเงิน จำนวน 2,000,000 บาท แลกกับการปล่อยตัวนายจาฎพันธุ์ฯ โดยมีการส่งภาพของนายจาฎพันธุ์ฯ ที่ไม่สวมเสื้อ มือและเท้าถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ขังอยู่ภายในห้องแห่งหนึ่ง มาให้ น.ส.จินดาฯ ดูด้วย เมื่อได้รับแจ้งดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนช่วยเหลือระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้ทำการสืบสวนด้วยข้อมูลต่างๆจนทราบว่ากลุ่มคนร้ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้คือนายอรรถพันธ์ฯ กับพวก (ผู้ต้องหาในคดีนี้) ซึ่งใช้บ้านเช่าบริเวณ ม.5 ต.ทำนบ อ.สิงหนคร จว.สงขลา เป็นที่กักขังนายจาฎพันธุ์ฯ และใช้พื้นที่บริเวณขนำไม่มีเลขที่ ม.1 ต.ทำนบ อ.สิงหนคร จ.สงขลา เป็นที่จอดรถยนต์ที่กลุ่มคนร้ายใช้ก่อเหตุ

ดังนั้นวันที่ 14 มิ.ย.2564 เวลาประมาณ 16.30 น. จึงได้ปฏิบัติการเข้าทำการช่วยเหลือนายจาฎพันธุ์ฯ ผู้ถูกกักขัง โดยนำกำลังปิดล้อมจู่โจมเข้าไปที่บ้านเช่าและขนำไม่มีเลขที่ ทั้งสองจุด เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบนายอรรถพันธ์ฯ ผู้ต้องหากับพวกรวม 4 คน อยู่ภายในบ้าน พร้อมกับตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดรายการอื่นๆ ไว้เป็นของกลางในคดี และพบนายจาฎพันธุ์ฯ พร้อมกับนายรุสดีฯ อายุ 30 ปี เพื่อนของนายจาฎพันธุ์ฯ ถูกล่ามโซ่ขังอยู่ในบ้านรวมกับนายจาฎพันธุ์ฯ ด้วย

จากการสอบถามปากคำนายอรรถพันธ์ฯ กับพวก ยอมรับว่าจับตัวนายรุสดีฯ มากักขังไว้ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย.2564 ส่วนนายจาฎพันธุ์ฯ ได้ถูกจับมากักขังไว้ ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.2564 สาเหตุเพราะบุคคลทั้งสอง ติดค้างเงินค่ายาเสพติดจากนายทุนผู้ค้ายาเสพติดคนหนึ่ง จึงได้ว่าจ้างให้ตนกับพวกจับตัวบุคคลทั้งสองมากักขังเพื่อทวงหนี้ โดยได้เรียกเงินจากมารดาของนายจาฎพันธุ์ฯ เพื่อแลกกับการปล่อยตัวจริง จึงได้ทำการควบคุมตัวนายอรรถพันธ์ฯกับพวก พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สิงหนคร จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากข้อมูลการสืบสวนพบว่านายอรรถพันธ์ฯกับพวก มีพฤติกรรมรับจ้างทวงหนี้นอกระบบ และจับคนมาเรียกค่าไถ่ ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่านายอรรถพันธ์ฯ เคยรับราชการตำรวจอยู่ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อปี 2558 นอกจากนี้ยังถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ (ลูกระเบิด) ถูกศาลจังหวัดสตูล พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 5 ปี เพิ่งพ้นโทษมาเมื่อเดือนกันยายน ปี 2563 และยังคงมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติยังพบอีกว่า นายอรรถพันธ์ฯ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสตูล ที่ 243/2563 ลงวันที่ 10 ต.ค.2563 ในความผิดฐาน “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย” อีกด้วย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด และจะได้ทำการสืบสวนขยายผลถึงเครือข่ายดังกล่าวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป