หนุมานกองปราบนำทีมจับกุมแก๊งทวงหนี้ข้ามชาติ หลังก่อเหตุบุกอุ้มเหยื่อกลางกรุง

สืบเนื่องมาจากเมื่อประมาณปลายปี 2563 ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ได้ติดต่อขอซื้อถุงมือกับทางบริษัทฯ แห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทของผู้เสียหายได้รับแต่งตั้งให้เป็นคู่เจรจาในการทำธุรกิจดังกล่าว โดยระหว่างการติดต่อทำธุรกิจกันนั้น ได้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างสองบริษัทฯ ทำให้บริษัทของผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับความเสียหายมูลค่า 93 ล้านบาท ผู้ต้องหาที่ 1 จึงได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่มาเปิดบริษัทนักสืบเอกชนอยู่ในประเทศไทยติดตามทรัพย์สินคืนจากบริษัทคู่กรณี

โดยผู้ต้องหาที่ ๒ กับพวก ได้วางแผนติดต่อนัดหมายผู้เสียหาย ซึ่งเป็นตัวเเทนบริษัทของคู่กรณี ที่ทำงานอยู่ประเทศไทย อ้างว่าต้องการสั่งซื้อถุงมือยาง โดยมีการนัดเจอกันในครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม 2564 และมีการนัดเจอกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2564 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ซึ่งเมื่อถึงเวลานัดหมาย ผู้เสียหายได้เดินทางไปร้านดังกล่าวตามนัด ซึ่งระหว่างที่กำลังสั่งอาหารอยู่ในร้าน ได้มีกลุ่มผู้ต้องหาอีกประมาณ 10 คน เข้ามาล็อกตัวผู้เสียหายพร้อมใส่กุญแจมือ แล้วนำตัวออกจากร้านไปยังห้องพักรายวันแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท 36  ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตร

โดยระหว่างที่ผู้เสียหายถูกคุมตัวอยู่ในห้องเช่าดังกล่าว ผู้เสียหายถูกกลุ่มคนร้ายข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และกลุ่มคนร้ายได้ใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย โทรศัพท์ติดต่อไปยังหัวหน้าบริษัทฯ เพื่อเรียกเงินจำนวน ๒ ล้านดอลลาร์ และติดต่อไปยังญาติผู้เสียหาย เพื่อเรียกเงิน 1 ล้านดอลลาร์ (รวมเป็นเงินประมาณ ๙๓ ล้านบาท) แต่ทางหัวหน้าบริษัทฯ และญาติของผู้เสียหายไม่ได้ทำตามข้อตกลงดังกล่าว และได้ขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตและเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มคนร้ายจึงได้รีบพาตัวผู้เสียหายออกจากห้องเช่าไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท 24 โดยในร้านอาหารดังกล่าว ผู้เสียหายได้พบกับผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งผู้ต้องหาที่ 1 ได้บอกให้ผู้เสียหายติดตามเงินที่ทางบริษัทของผู้ต้องหาที่ ๑ ได้รับความเสียหายจากการติดต่อทำธุรกิจถุงมือยางกับบริษัทของผู้เสียหายมาคืน

หลังจา0ลาป0ะมาณ 22. น. กลุ่มผู้ต้องหาจึงได้นำตัวผู้เสียหายขึ้นรถเดินทางไปยัง สน.ทองหล่อ เพื่อลงบันทึกประจำวัน ว่าผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความกับเหตุการณ์ในวันดังกล่าว แต่ทางผู้เสียหายไม่ยอมลงชื่อแต่อย่างใด กลุ่มผู้ต้องหาจึงได้ปล่อยตัวผู้เสียหายไป 

ซึ่งภายหลัง ทางผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายที่ได้ก่อเหตุดังกล่าว

 จากพฤติการณ์การกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งได้กระทำการอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย มีการกระทำเป็นขบวนการของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ กระทำการเป็นขั้นตอน มีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำอย่างรัดกุม และมีการร่วมมือกับเจ้าพนักงานของรัฐ (เจ้าหน้าที่ตำรวจ) ร่วมกระทำความผิดในครั้งนี้ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาดและจริงจัง จะทำให้สังคมไทยปราศจากความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว

โดยในวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ป. พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน ได้นำกำลังเข้าปิดล้อมจับกุมคนร้ายในขบวนการดังกล่าว โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 3 ราย ดังนี้

๑. นายสตีฟ (นามสมมุติ) ผู้ต้องหาตามหายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.๑๘๘/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔

๒.นายเจมส์ (นามสมมุติ) ผู้ต้องหาตามหายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.๒๑๓/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔

๓. นายเอกบดินทร์ (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.๒๑๔/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันเรียกค่าไถ่,พยายามฆ่า,อั้งยี่,ช่องโจร,ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกชมขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ ร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือช่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือช่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่,หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย,ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหานำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการติดตามจับกุมผู้ต้องหารายอื่นๆที่ยังคงหลบหนีอยู่มาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว

“ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”