ตร.แถลงจับ เจ๊เพชร เครือข่ายลักลอบ-นำเข้าแรงงานพม่าใหญ่ภาคกลาง ส่งมาตลาดกลางกุ้ง มหาชัย ต้นตอแพร่โควิด-19

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวยศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ร่วมแถลงผลการปฏิบัติในการกวาดล้างกระบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถจับกุมต่างด้าวผิดกฎหมาย และขบวนการนำพาได้จำนวนมาก

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ ซึ่งมีการแพร่ระบาดมาจากแรงงานต่างด้าว ในจังหวัดสมุทรสาคร ผลการสอบสวนโรคพบว่ามีสาเหตุมาจากต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองมาจากประเทศเมียนมาโดยผิดกฎหมาย เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สั่งให้มีกวาดกวาดล้างขบวนลักลอบขนแรงงานต่างด้าวอย่างเด็ดขาด ตร. จึงได้ตั้งคณะทำงานสืบสวนปราบปรามเครือข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย มี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน

มีการดำเนินการไปทั้ง 2 มิติ ควบคู่กันไป มิติแรกคือการสกัดกั้นการลักลอบ ตามแนวชายแดนและเส้นทางเชื่อมต่อแนวชายแดนที่สำคัญ โดยบูรณาการร่วมกับทหาร ฝ่ายปกครอง อาสาสมัคร และกำลังตำรวจทุกหน่วย โดยมีการตั้งจุดตรวจพื้นที่ชายแดน ทั้งหมด 284 จุด จุดตรวจพื้นที่ตอนใน 579 จุด ชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อลาดตระเวรตรวจสอบผู้ที่ลักลอบหลบจุดตรวจ เช่น ว่ายข้ามแม่น้ำ หรือ เดินเท้าข้ามป่า อีก 1,714 ชุดปฏิบัติการ อีกมิติ คือ การสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายที่ลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งกระบวนการ ซึ่งพบว่าบางเครือข่ายก็มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ผลการปฏิบัตินับตั้งแต่ 1 มกราคม – 11 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถจับกุมด่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 396 ราย, นำหรือพาคนต่างด้าว​ 29 ราย และที่มีหมายจับค้างเก่าอีก 19 ราย, ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น คนต่างด้าวผิดกฎหมาย 91 ราย ยึดรถของกลางที่ใช้ในการนำพา 22 คัน

โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายสำคัญจำนวน 21 จุด ในพื้นที่ 9 จังหวัด ที่ทั่วประเทศ สามารถจับกุม ผู้ต้องหาทั้งสิ้น 14 คน ยึดรถของกลาง 9 คัน และตรวจสอบรถยนต์ที่พบในบ้านผู้ต้องหาอีก 19 คัน และมีการสืบสวนขยายผลกจับกุมเครือข่ายนำพาแรงงานต่างด้าว มากกว่า 10 เครือข่าย

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ บก.สส.สตม. ได้จับกุม นางราตรี เวชสุวรรณ หรือเจ๊เพชร ในความผิดฐานนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ ซึ่ง เครือข่ายเจ๊เพชร เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดของภาคกลาง มีพฤติการณ์ลักลอบนำเข้า-ส่งออก แรงงานต่างด้าว จากประเทศเมียนมา มาส่งที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเกี่ยวพันกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

พฤติการณ์ของเจ๊เพชร จะทำหน้าที่เป็นเอเย่นต์ฝั่งไทย ประสานกับเอเย่นต์เมียนมา เมื่อมีแรงงานที่ต้องการเข้าประเทศไทย จะต้องเสียค่าดำเนินการตั้งแต่ 6,000-12,000 บาท และเอเย่นต์ในเมียนมาจะออกเอกสารผ่านแดนให้แรงงาน หรือ Border pass และเข้ามาทางจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี หรือ หากไม่มีเอกสารผ่านแดน ก็ลักลอบเข้ามาทางชายแดนธรรมชาติ จากนั้นเจ๊เพชรจะทำหน้าที่จัดหาที่ทำงาน และที่พักให้แรงงาน พร้อมสั่งให้นายเย มิน และกลุ่มนายอองโจ เป็นผู้ขับรถพาแรงงานไปยังที่พักดังกล่าวในจังหวัดกาญจนบุรี และสมุทรสาคร ตามพื้นที่รับผิดชอบ เบื้องต้นตำรวจสามารถจับกุมเจ๊เพชร รวมถึงนายเยมิน และกลุ่มของนายอองโจได้แล้วรวม 4 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผลผู้ที่เกี่ยวข้อง

โดยจากการสอบปากคำทราบว่าเครือข่ายของเจ๊เพชรลักลอบขนแรงงานต่างด้าวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี แม้ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาจะมีการปิดด่านพรมแดนข้ามประเทศแต่เครือข่ายก็ยังมีการขนแรงงานเข้ามาอย่างผิดกฎหมายต่อเนื่อง

ขณะนี้เจ๊เพชรถูกฝากขังอยู่ภายในเรือนจำกลางบางขวาง เนื่องจากพนักงานสอบสวนเห็นว่าเป็นผู้มีอิทธิพล อาจไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานในอนาคต จึงคัดค้านการประกันตัว

นอกจานี้ช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับ ภ.8 ได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายหลายจังหวัดในภาคใต้ “เครือข่ายกะพ้อ ยะหริ่ง” ซึ่งทำหน้าที่นำเข้าและส่งออกแรงงาน 3 สัญชาติ ระหว่างไทยและมาเลเซีย ประสานกับเครือข่ายของเจ๊ดา ดอนเมือง ซึ่งได้ถูกจับกุมไปแล้วก่อนหน้านี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหาร่วมขบวนการ 10 คน ยึดรถของกลาง 7 คันและสมุดบัญชีเงินฝากอีก 14 เล่ม

สำหรับเครือข่ายเจ๊ดา และเครือข่ายจันดีภาคตะวันออก ที่ลักลอบขนคนลาวและเขมร สามารถจับกุมเครือข่ายได้บางส่วนแล้ว จะดำเนินการขยายผลต่อไป

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ใครที่เข้าไปเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชนก็จะต้องถูกดำเนินการทั้งอาญา และวินัยทุกราย ทั้งนี้หากพบเบาะแสให้แจ้งเข้ามาได้ที่ สายด่วน 191 หรือ 1599