ตำรวจขอนแก่นเตรียมออกหมายเรียก “ครูอ้อ- ครูนิด และครูพี้” ร่วมขบวนการสวมสิทธิ์โครงการคนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกันเข้าสอบปากคำ “ยรรยง” เผยครู 1 ใน 3 ที่ถูกกล่าวหาระบุได้ค่าจ้างรายละ 50 บาทขณะที่ชาวบ้านบางรายได้รับเงินเพียงร้อยบาทเท่านั้น
เมื่อเวลา 11. 30 น. วันที่ 10 ก.พ.2564 ที่ สภ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ. 4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.4 ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีชาวบ้านในพื้นที่ อ.หนองเรือ กว่า 500 ราย ถูกว่าที่ ร.ต.ดร. ภูผาภูมิ โมรีย์ ข้าราชการครูในพื้นที่ อ.หนองเรือ พร้อมพวกอีก 4 ราย หลอกชาวบ้านนำบัตรประจำตัวประชาชนไปสวมสิทธิ์ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง และ โครการเราเที่ยวด้วยกัน โดยให้เงินจำนวน 200 บาทกับชาวบ้าน โดยในวันนี้ได้มีชาวบ้านใน ต.ยางคำ อ.หนองเรือ ที่ถูกสวมสิทธิ์ต่างทยอยเดินทางมาให้ปากคำกับทางพนักงานสอบสวน สภ.หนองเรือ และแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ “ครูอ้อ- ครูนิด และครูพี้” ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นครูอัตราจ้างของเทศบาลตำบลยางคำ ที่มีพฤติกรรมหลอกชาวบ้านในพื้นที่ ต.ยางคำ ด้วยการนำเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปให้กับว่าที่ ร.ต.ดร. ภูผาภูมิ โมรีย์ เพื่อสวมสิทธิ์ลงทะเบียนทั้ง 2 โครงการ
พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ. 4 กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ อ.บ้านฝาง และขยายผลตรวจสอบพบที่ อ.หนองเรืออีกกว่า 500 ราย พร้อมทั้งพบว่ามีผู้ร่วมขบวนการซึ่งเป็นครูอัตราจ้างในพื้นที่ อ.หนองเรือ ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับ ดร.ภูผาภูมิ ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ โดยในวันนี้ ทีมสอบสวนจะเร่งสอบปากคำชาวบ้านให้ครบทุกปาก และจะทำการออกหมายเรียกครูทั้ง 3 คนที่ถูกกล่าวหามาสอบสวน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน
” ตำรวจจะทำการสอบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง หากพบมีส่วนเชื่อมโยงไปที่ใครอีกก็จะออกหมายเรียกมาสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ โดยเบื้อต้นจะเอาผิดในส่วนของที่ชาวบ้านถูกนำเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปใช้สวมสิทธิ์เพื่อลงทะเบียนโครงการของรัฐบาลทั้ง 2 โครงการก่อน พร้อมประสานไปยังส่วนของผู้เสียหายโดยตรงคือรัฐบาล เพื่อดำเนินการแจ้งความเอาผิดขบวนการสวมสิทธิ์ดังกล่าวนี้ในข้อหาฉ้อโกง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดตามขั้นตอน”
ผบช.ภ.4 กล่าวต่ออีกว่า พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวครูอ้อ 1 ในผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวน เบื้องต้นให้การว่ารู้จักกับ ดร.ภูผาภูมิ จริง โดย ดร.ภูผาภูมิได้ชักชวนให้ไปหาบัตรประจำตัวประชาชนของชาวบ้านมา โดยจะให้ค่าตอบแทนรายละ 50 บาท เมื่อได้บัตรประจำตัวประชาชนมาแล้วก็จะโอนเงินให้รายละ 250 บาท โดยครูอ้อเมื่อรับเงินมาก็จะนำเงินไปให้ชาวบ้านรายละ 200 บาท และหักเป็นของตัวเอง 50 บาท พร้อมกันนี้ยังพบว่ามีชาวบ้านบางรายได้เพียง 100 บาท โดยรายละเอียดอื่นๆนั้นอยู่ในสำนวนการสอบสวน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะเรียกครูอีก 2 คนมาสอบปากคำตามขั้นตอนและเมื่อทางเจ้าหน้าที่รัฐเข้าแจ้งความก็จะแจ้งข้อหา ฉ้อโกงเพิ่มเติมกับทุกคนที่ร่วมขบวนการ และหากยังคงมีพื้นที่อื่น ที่มีส่วนเชื่อมโยงในกระบวนการหลอกสวมสิทธิ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ทางเจ้าหน้าที่ก็จะขยายผลจับกุมตามขั้นตอนต่อไป
ด้าน นางจำรัส ประเสริฐก้านตรง อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 103/2 ม. 1 บ้านยางคำ ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือน พ.ย.2563 เห็นเพื่อนบ้านหลายคนพูดคุยกันเกี่ยวกับได้รับเงิน 200 บาทจากครูนิด ซึ่งบอกว่าเป็นเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาล จึงได้ชักชวนกันกับเพื่อนบ้านไปสอบถามครูนิดที่บ้านของครูนิด ซึ่งครูนิดบอกว่าให้นำบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง ตนเองกับครอบครัวรวมทั้งเพื่อนบ้านก็นำให้ครูนิดไป โดยครูนิดได้ถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนทั้งหน้าทั้งหลัง แล้วคืนให้ ต่อมาประมาณ 1 อาทิตย์ครูนิดก็นำเงินจำนวน 200 บาทมาให้ที่บ้านแล้วก็กลับไป ซึ่งตนเองมารู้ภายหลังจากที่มีข่าวและทางผู้นำชุมชนได้เรียกไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมเมื่อวานที่ผ่านมา และในวันนี้ก็ได้เดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอยากให้ครูนิดนั้นเลิกทำแบบนี้และไม่ไปทำกับใครอีก
ขณะที่นาย อุทัย นามกอง อายุ 75 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/2 ม.1 บ.ยางคำ ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ได้รับเงิน 100 บาท จากครูพี้ หลังจากที่ครูพี่มาแจ้งกับชาวบ้านว่าจะมีเงินจากทางรัฐบาลมาแจกให้กับชาวบ้านเป็นเงินช่วยเหลือ ให้นำบัตรประชาชนมารับไป ตนเองกับเพื่อนบ้านก็นำบัตรรวบรวมให้กับครูพี้และได้รับเงินมาคนละ 100 บาท เหตุการณ์เกิดชึ้นเมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2563 กระทั่งพบว่ามีข่าวดังกล่าวขึ้นและทางผู้นำชุมชนได้เรียกให้ไปให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ว่าใครที่นำบัตรประชาชนไปรับเงินให้มาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ในส่วนของตนเองที่ได้ 100 บาทนั้นก็ไม่ได้ไปสอบถามคนอื่นที่ได้ 200 เพราะให้เท่าไหร่ก็เอาเนื่องจากคนที่มาบอกเป็นถึงครูบาอาจารย์มีความน่าเชื่อถือจึงไม่ได้สอบถามอะไร และตั้งแต่วันที่เจอครูพี้มาขอบัตรประชาชนแล้วให้เงินมาก็ไม่เจอครูพี้อีกเลย