พบชาวบ้านตกเป็นเหยื่อถูกหลอก สวมสิทธิ์โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน เพิ่มเกือบ 700 คน

พบชาวบ้านตกเป็นเหยื่อถูกหลอกเอาเลขบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์ลงทะเบียนโครงการ คนละครึ่ง และ เราเที่ยวด้วยกัน เพิ่มอีกเกือบ 700 คนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและไม่มีสมาร์ทโฟน ขณะที่แนวทางสอบสวนพบผู้ร่วมขบวนการเป็นครูผู้หญิงอีก 3 คน เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการเอาผิด



เมื่อเวลา 09.30  น.วันที่ 9 ก.พ.2564 ที่ศาลาประชาคม  บ้านยางคำ ม.2 ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ได้ชาวบ้านกว่า 500 ราย รวมตัวกัน เพื่อลงชื่อและร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหนองเรือ จ.ขอนแก่น หลังถูกกลุ่มข้าราชการครูนำบัตรประชาชนไปใช้ในการสวมสิทธิ์ โครงการคนละครึ่งและโครการเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาล



นางชุมพร ส่วยลี อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 20 บ.ยางคำ ม.2 ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น   กล่าวว่า ในช่วงเดือน ต.ค.ต่อเนื่องถึงเดือน  พ.ย.ของปีที่ผ่านมา มีข้าราชการในพื้นที่ ทราบเพียงชื่อเล่นว่าครูอ้อ ทำงานในเทศบาลตำบลยางคำ และเป็นครูผู้สอนที่ศูนย์ปฐมวัยของเทศบาล ได้มาบอกว่าให้ถ่ายสำเนาบัตรประชาชนมาให้แล้วจะได้รับเงิน 200 บาท จึงได้รวบรวมเอาบัตรประชาชนของคนในครอบครัวไปมอบให้ครูอ้อ จากนั้นก็รับเงินมา โดยครูอ้อ กำชับว่า รับเงินไปแล้ว ห้ามบอกใครเด็ดขาด



“ในขณะรับเงินได้ถามว่าเป็นเงินอะไร แต่ครูอ้อไม่ตอบ จึงคิดว่า เงิน 200 บาท ที่ได้มา มีค่ากับครอบครัว ในการนำมาซื้อข้าวปลาอาหาร จึงไม่คิดมากและรับเงินมา จนกระทั่งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ประกาศแจ้งว่า  ใครที่รับเงิน 200 บาท แล้วถูกถ่ายรูปเอาบัตรประชาชนไป ให้มาลงชื่อกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรมอำเภอหนองเรือ จึงได้รู้ว่าตัวเองถูกสวมสิทธิ์ เพราะเป็นคนไม่มีโทรศัพท์มือถือ จึงไม่ทราบเรื่องการลงทะเบียนในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล และเมื่อทราบว่า ครู ซึ่งเสมือนลูกหลานของชาวบ้าน ไม่น่ามาทำแบบนี้ ไม่น่ามาหากินกับคนจนเช่นนี้”



ขณะที่  นายชัยพร อาจมนตรี อายุ 45 ปี กำนันตำบลยางคำ กล่าวว่า  หลังเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านในพื้นที่ อ.บ้านฝาง ถูกครูนำเงินมาให้แล้วถ่ายเอาบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์เข้าใช้ในโครงการของรัฐบาล จังหวัดจึงได้สั่งให้ฝ่ายปกครองตรวจสอบในพื้นที่ตัวเองว่ามีชาวบ้าน ถูกสวมสิทธิ์หรือไม่ จึงทำการตรวจสอบปรากฏในพื้นที่ตำบลยางคำซึ่งมีทั้งหมด 14 หมู่บ้าน มีชาวบ้านที่บ้านยางคำหมู่ที่1,2 ,13 และ ม.14  รวมทั้ง บ้านหนองหว้า ม.3  ถูกครู 3 คน คือครูอ้อ, ครูเดียว และครูพี้ มาชวนให้รับเงินคนละ 200บาทแล้วถ่ายเอาสำเนาบัตรประชาชนไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ รวมแล้ว 500คน และเมื่อทราบรายละเอียด จึงรายงานไปยังนายอำเภอ กระทั่งมีการจัดเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอมารับคำร้องทุกข์จากชาวบ้านในพื้นที่ และขณะนี้ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.หนองเรือทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว 

 ด้าน พ.ต.อ.ภพกร กวินโยธิน ผกก.สภ.หนองเรือ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น  มีการตรวจสอบลูกบ้าน และพบอีกว่า ที่บ้านหนองผือ ม.7 ต.บ้านผือ อ.หนองเรือ  มีชาวบ้านที่ถูกถ่ายเอาบัตรประชาชนไปแล้วคนที่มาพบกับชาวบ้านก็จ่ายเงินให้200บาท มีจำนวน 197 คน และชาวบ้านในพื้นที่ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่นอีกจำนวน 500 คน ซึ่งผู้ใหญ่บ้านได้ทำรายงานให้นายอำเภอหนองเรือทราบแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านบางรายมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภ.หนองเรือแล้วเช่นกัน

“หลังจากตรวจสอบชาวบ้านถูกสวมสิทธิ์ ในโครงการคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกัน และไม่สามารถลงทะเบียนในโครงการเราชนะได้นั้น ในพื้นที่อำเภอหนองเรือ มการตรวจสอบแล้วพบว่ามีคนถูกกล่าวหาจำนวน 3 คน และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดต่อโครงการของรัฐ และงบประมาณของรัฐ ฉะนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบข้อมูลและรายชื่อของชาวบ้านแล้ว ก็จะทำการสอบสวน ตามรายชื่อที่ปรากฏ และชาวบ้านต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วยในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจนด้วย  ซึ่งเมื่อทำการสอบสวนเสร็จสิ้น ต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดรายงานต่อผู้บังคับบัญชาภายในวันที่ 10 ก.พ.นี้”

 ด้าน นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ได้มอบหมายให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่พบปะกับชาวบ้าน และผู้นำชุมชน เพื่ออธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจ โดยได้กำชับว่า ให้ชาวบ้านที่ถูกถ่ายเอาบัตรประชาชนไปนั้น เข้าร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ซึ่งขณะนี้มี 2 อำเภอ คือ อ.บ้านฝาง และ อ.หนองเรือ โดยขณะนี้พบว่าพื้นที่ อ.หนองเรือนั้น มีชาวบ้านถูกถ่ายเอาบัตรประชาชนไป รวมแล้ว 657 ราย ถือว่ามีจำนวนมากกว่า อ.บ้านฝาง และมีความเชื่อได้ว่า คนที่ร่วมดำเนินการในครั้งนี้มีมากกว่า 2 คน ทั้งนี้ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการสืบสวนหาคนที่ร่วมกระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฏหมายและในวันที่ 10 ก.พ.นี้ จังหวัด จะทำการสรุปภาพรวมทั้งหมดของคดีดังกล่าว รวบรวมข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุด เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหา รายงานไปที่กระทรวงการคลัง ให้สรุปผลทั้งหมด เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป