กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยการอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป., พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ, พ.ต.ท.สาธิต สมานภาพ, พ.ต.ท.ศราวุธ จันต๊ะวงค์, พ.ต.ท.อลงกต คชแก้ว และ พ.ต.ท.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ รอง ผกก.1 บก.ป.
พ.ต.ท.เจตนิพัทธ์ ศิริวัฒน์ สว.กก.1 บก.ป., ร.ต.อ.นภชลัน เกิดเอี่ยม รอง สว.กก.๑ บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ร่วมกับตำรวจ สน.พหลโยธิน พ.ต.ต.เชษฐพัทธ์ วงศ์สวัสดิ์ สว.สส สน.พหลโยธิน, ร.ต.อ.วันเฉลิม ใสสะอาด รอง สว.(สอบสวน) ร่วมกันจับกุม นายสุกิจ หรือ ตั้ม (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี น.ส.ยุวดี หรือ ยุ (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถาน ในเวลากลางคืน โดยทำอันตราย สิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปโดยประการใดๆ โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม หรือรับของโจร” จับกุมตัวได้ที่ บ้านพัก ซ.ลาดพร้าว 43 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 กองบังคับการปราบปรามได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ว่ามีเหตุคนร้ายใช้รถเก๋งสีฟ้าตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์ตามหมู่บ้านย่านลาดพร้าว, โชคชัย และ รามอินทรา ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหลายราย
พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พร้อม เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. นำโดย พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป., พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ รอง ผกก.1 บก.ป, พ.ต.ท.เจตนิพัทธ์ ศิริวัฒน์ สว.กก.1 บก.ป. กับพวก ทำการสืบสวนเพื่อติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว จนทราบพฤติการณ์ของคนร้าย ว่ากลุ่มคนร้ายดังกล่าวจะขับขี่รถยนต์สีฟ้า ตระเวนไปตามบ้านเรือนของประชาชนในช่วงกลางดึก หากพบว่าบ้านหลังใดไม่มีกล้องวงจรปิดหรือเป็นบ้านที่เชื่อว่ามีทรัพย์สินของมีค่าอยู่ภายในบ้าน กลุ่มคนร้ายจะขับรถวนดูเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ภายในบ้านจริง แล้วจะลงมือเข้าไปลักเอาทรัพย์สินภายในบ้าน ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุคือ นายสุกิจ หรือ ตั้มฯ และ น.ส.ยุวดี หรือ ยุฯ สองสามีภรรยา และพบรถยนต์ที่ก่อเหตุจอดอยู่ใน ซ.ลาดพร้าววังหิน 43
กระทั่งวันที่ 11 ม.ค.2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญา ตามหมายค้นที่ ค.2 และ ค.3 ลงวันที่ 10 ม.ค.2564 เข้าค้นบ้านเลขที่ 29 และ 31
ซ.ลาดพร้าว 43 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ จากการตรวจค้นพบทรัพย์สินมีค่าจำนวนหลายรายการ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการตรวจยึดและนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากการตระเวน
ลักเอาทรัพย์สินตามบ้านของประชาชนจริง โดยในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ได้ตระเวนก่อเหตุไปแล้วจำนวนหลายครั้ง ซึ่งจากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมพบว่าทรัพย์สินของกลางดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นของดาราชื่อดัง “บอย ปกรณ์” หรือนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ซึ่งได้แจ้งความเอาไว้ที่ สน.พหลโยธิน เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากพบว่ามีคนร้ายได้เข้าไปลักเอาทรัพย์สินซึ่งเป็นโมเดลหมี และของเล่นสะสม จำนวนหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท ที่เก็บเอาไว้ภายในบ้านฯของตนซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
โดยมีพฤติการณ์คือ ตามวันเวลาเกิดเหตุ คนร้ายทั้งสองคนได้ขับขี่รถยนต์ ยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นออปต้า สีฟ้า หมายเลขทะเบียน กม-1943 อุบลราชธานี มาจอดที่หน้าบ้านของบอย ปกรณ์ฯ หลังจากนั้นได้ลงจากรถเพื่อสอดส่องดูว่ามีคนอยู่ในบ้านหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในบ้าน จึงได้ขับขี่รถยนต์ออกไปเพื่อไปนำอุปกรณ์ที่ใช้ในการงัดแงะ (คีมตัดเหล็ก และ กรรไกร) กลับมาก่อเหตุอีกครั้ง โดยคนร้ายได้ใช้คีมตัดเหล็กทำลายโซ่ล็อกประตูบ้าน แล้วเข้าไปลักโมเดลหมีและของเล่นสะสมที่วางอยู่ในห้องเก็บของชั้นล่างก่อนที่จะหลบหนีไป ซึ่งในช่วงวันเวลาดังกล่าว บ้านของบอย ปกรณ์ฯ ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในบ้าน เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่
นอกจากนี้นายสุกิจ หรือ ตั้มฯ ผู้ก่อเหตุได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเหตุผลหรือแรงจูงใจที่กระทำความผิดว่าตนเองต้องการนำสิ่งของที่ขโมยมาไปขายต่อในตลาดมืด เพื่อนำเงินมาใช้หนี้การพนัน และนำไปซื้อยาเสพติด (ยาไอซ์)
จากการตรวจสอบประวัติการกระทำความผิด พบว่า นายสุกิจ หรือ ตั้มฯ เคยกระทำความผิดในฐาน “ลักทรัพย์ฯ” และเคยต้องโดนโทษคดีเกี่ยวกับเสพยาเสพติดมาแล้วหลายครั้ง
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมด และจะสืบสวนเพิ่มเติมไปยังผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่เคยตกเป็นเหยื่อของคนร้ายรายนี้ต่อไป
“ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”