วันนี้ (1 ธ.ค.63) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมหัวหน้าชุดของศูนย์ ฯ แถลงสรุปผลการจับกุม ผู้กระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
![](https://www.policetv.tv/wp-content/uploads/2020/12/01-12-63-1.jpg)
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมพล.ต.ท.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบช.สตส. พล.ต.ท.ชวลิต แสวงพืชน์ ผบช.สทส. พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ จตร.พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รองผบช.น. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนาถ ผบก.สส.สตม. และตำรวจ ศปอส.ตร. ร่วมกันแถลงสรุปผลการจับกุมผู้กระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยในรอบปีที่ผ่านมามีผลการจับกุมตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2562 ถึง 30 ก.ย. 2563 ได้รับแจ้งความ 244 ราย แบ่งเป็น ศปอส.ดำเนินการ 72 ราย สถานีตำรวจดำเนินการ 172 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 40,000 ล้านบาท ได้ยึดทรัพย์ประกอบคดีมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนห้วงวันที่ 1 ต.ค. 2563 ถึง 30 พ.ย. 2563 รับแจ้งความ 59 ราย แบ่งเป็น ศปอส.ดำเนินการ 16 ราย (จับกุมแล้ว 6 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี 10 ราย) สถานีตำรวจดำเนินการ 41 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท เป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับพนันออนไลน์ จำนวน 19 เว็บไซต์ จับกุม 117 ราย สามารถยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 77 ล้านบาท พบยอดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้มีผลการจับกุมคดีที่น่าสนใจ เช่น จับกุมผู้ต้องหาใช้รูปเน็ตไอดอลสาวคนดังเปิดเฟซบุ๊กหลอกให้โอนเงิน, จับกุมผู้ต้องหาหลอกขายสินค้าแบรนด์เนม, ผู้ต้องหาแชร์บ้านตุนตังค์เข้ามอบตัว, จับกุมผู้ต้องหาใช้แอพพลิเคชั่นไลน์หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน, จับกุมการพนันออนไลน์ รวมถึงเตือนภัยการหลอกลวงออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ โดยมีกลุ่มยูทูปเบอร์ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการมาร่วมเตือนภัยสังคม
![](https://www.policetv.tv/wp-content/uploads/2020/12/NP1A7857.jpg)
คดีแรกได้จับกุมนายนิตินัย ขุนทอง อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1508/2563 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2563 หลังใช้แอพพลิเคชั่นไลน์หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าสินค้า พบมีผู้เสียหาย 20 คน มูลค่าความเสียหาย 8 แสนบาท โดยจับกุมได้ที่ต.บางเป้า อ.กันตรัง จ.ตรัง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 จากนั้นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ได้ขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการคือนายฤทธิไกร โภคา อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่จ.1780/2563 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตน เป็นคนอื่น,รับของโจร, นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ ประชาชน” โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่ บริเวณเมืองทองธานี ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
![](https://www.policetv.tv/wp-content/uploads/2020/12/NP1A7799-1.jpg)
ส่วนการจับกุมการพนันออนไลน์ ได้จับกุมพนัออนไลน์ www.fifa55.com และ www.ruay.com โดยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ตํารวจศปอส.ตร. และสตม. ได้นําหมายค้นศาลแขวงเชียงราย ตรวจค้น 2 จุด คือ ห้วยน้ํารินรีสอร์ท ต.เวียงทางคํา อ.แม่สาย จ.เชียงราย และขยายผลเข้าตรวจค้น น้ําจํารีสอร์ท ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย สามารถจับกุมผู้ต้องหา 15 คน พร้อมของกลางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 15 เครื่อง ในข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ส่วนในพื้นที่จ.อุดรธานี เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้น 3 จุด ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชักชวนให้มี การเล่นการพนันออนไลน์ เว็บไซต์ gclubcr7.com และ 365gclub.com ผลการตรวจค้นได้จับกุมแอดมินเว็บพนัน และเจ้าหน้าที่บัญชี รวมผู้ต้องหา 16 ราย พร้อมตรวจยึด เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี 6 เครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 1 เครื่อง จอคอมพิวเตอร์ 8 จอ เร้ทเตอร์ 2 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง บัญชีธนาคาร 3 บัญชี และบัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ มีเงินหมุนเวียน ในระบบประมาณ 15 ล้านบาท แจ้งข้อหา ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อ ช่วย ประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้ รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
นอกจากนี้ ศปอส.ตร.ได้รับร้องเรียนจากประชาชนว่านางสาวปิยพร หรือนีรัชภรณ์ อักษร หรือฟูวุฒิ อายุ 29 ปี ได้มาชักชวนให้ร่วมลงทุนกับกลุ่มแชร์ “บ้านตุนตัง” ซึ่งมีนางสาวปิยพรเป็นเท้าแชร์ มีให้ลงทุนทั้งแบบเงินออมและออมทองที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยรูปแบบการลงทุนรูปแบบเงินออม จะเป็นเหมือนการฝากเงิน มีทั้งเงินออมแบบ 3 วัน 5 วัน 7 วัน 1 เดือน และ 3 เดือนเมื่อถึงกําหนดจะได้ดอกเบี้ยร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 300 ต่อเดือน
ส่วนการออมทองจะเป็นลักษณะการซื้อทองในราคาถูก ซึ่งนางสาวปิยพรอ้างว่าสามารถซื้อทองคําได้ในราคาบาทละประมาณ 10,000–13,000 บาท จากนั้นให้ผู้เสียหายฝากนางสาวปิยพรขาย เพื่อเก็งกําไร ซึ่งช่วงแรกได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ โดยเฉพาะทองรูปพรรณและทองแท่งที่ได้มาจริงๆ และเมื่อนําไปขายต่อก็เป็นทองแท้ได้ราคาเต็ม จากนั้นจึงเพิ่มการลงทุนไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งเข้าเป็นแม่ทีมหา สมาชิกเพิ่ม ต่อมาก็ไม่จ่ายผลตอบแทนเงินออมและมอบทองให้กับสมาชิกที่ลงทุนไป และไม่ สามารถติดต่อนางสาวปิยพรได้อีกเลย สมาชิกที่ได้รับความเสียหายในจังหวัดเชียงใหม่ จึงรวมตัวกันเข้าแจ้ง ความร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน สภ.สารภี มีผู้เสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท พนักงานสอบสวนสภ.สารภี ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นคําร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ศาลอนุมัติหมายจับตามหมายจับเลขที่ จ.511/2563 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2563 ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน และกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” ต่อมานางสาวปิยพรได้เข้ามอบตัวที่ สภ.สารภี จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563
และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ได้จับกุมนายอนุสรณ์ ทองปุ่น อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ จ.488/2563 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 ในความผิดฐาน ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หลังผู้ต้องหาได้นําภาพในอินสตราแกรม ของผู้เสียหาย ไปใช้ในการเปิดบัญชีเฟซบุ๊กปลอม และส่งข้อความขอยืมเงินจากบุคคลอื่น จํานวนหลายรา
ทั้งนี้คดีนี้ทางผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเน็ตไอดอล มียอดผู้ติดตามกว่า 4 แสนคน ได้นำดอกไม้และกระเช้ามาขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ
![](https://www.policetv.tv/wp-content/uploads/2020/12/NP1A7908.jpg)
ทั้งนี้คดีนี้ทางผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเน็ตไอดอล มียอดผู้ติดตามกว่า 4 แสนคน ได้นำดอกไม้และกระเช้ามาขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคดีนางสาวกุลธิดาลักษณ์ เจริญเนตร อายุ 34 ปี กรรมการบริษัท เซเลบ แบรนด์เนม จํากัด ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนกก.1 บก.ปคบ. ในความผิดฐาน “ฉ้อโกง ประชาชน” หลังผู้ต้องหาได้ลงรูปประกาศขายสินค้าแบรนด์เนมในเพจเฟซบุ๊ก Celebrity Brandname มีผู้ซื้อจํานวนหลายรายได้โอนเงินชื้อสินค้า และไม่ได้รับสินค้า อันมีลักษณะที่มีพฤติการณ์เป็นการหลอก หรือจูงใจ ให้บุคคลทั่วไปที่ใช้วิธีการชื้อของผ่านระบบอินเตอร์เน็ตสื่อโซเชียล หลงเชื่อ และโอนเงิน เพื่อซื้อสินค้าที่ผู้ต้องหาเสนอขายสินค้าประเภทมือสองหรือ และเมื่อผู้ต้องหาได้รับโอนเงินแล้วไม่ดําเนินการส่งสินค้าให้ผู้ชื้อ โดยกระทําต่อเนื่อง มีผู้เสียหาย 48 ราย มูลค่าความเสียหาย 5.2 ล้านบาท
ภาพโดย POLICE TV
เนื้อหา https://www.thaipost.net/main/detail/85610