ตร.ภ.4 รวบ 2 สาว ชาวพิษณุโลก เครือข่ายแก๊งค์โรแมนซ์สแกมเครือข่ายแก๊งค์ไนจีเรียหลอกเหยื่อทั้งชายและหญิงโอนเงิน สูญเงินทั่วประเทศ “ยรรยง” ฝากถึงผู้เสียหายรายให้รีบเข้าแจ้งความ เชื่อมีคนตกเป็นเหยื่อทั่วประเทศ
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 พ.ย.2563 ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 แถลงข่าวผลการจับกุม 2 ผู้ต้องหาแก๊งค์ฉ้อโกงหลอกรักออนไลน์ หรือ โรแมนซ์สแกม ตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ประกอบด้วย น.ส.วิภาวดี กลิ่นประทุม หรือ วิ อายุ 20 ปี และ น.ส.กัลย์สุดา ปุริโส หรือ เมย์ อายุ 19 ปี ทั้ง 2 เป็นชาว จ.พิษณุโลก หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.สส.ภ.4 จับกุมตัวได้ที่บ้านพักในพื้นที่ ต.วัดตายม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก
พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ผู้เสียหายถูกกลุ่มบุคคลแอบอ้างเป็นชายชาวสัญชาติอเมริกัน ชื่อว่า นายบียอง วู โดยใช้โปรไฟลด์หน้าตาดี และใช้ชื่อในสื่อโซเชียลมีเดียว่า “byung_157” หลอกลวงหญิงสาวชาว จ.อุดรธานี ผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยใช้อุบายเข้ามาจีบ สร้างความสนิทโดยที่ไม่เห็นหน้ากัน หลอกลวงต่างๆนานา เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อไว้ใจจนถูกหลอกให้โอนเงินให้ รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง ในช่วงวันที่ 24-29 ก.ย.2563 ที่ผ่านมา รวมเป็นเงินจำนวน 439,000 บาท ก่อนที่ผู้เสียหายจะรู้ตัวว่าถูกหลอกและเข้าแจ้งความที่ สภ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสืบสวนสอบสวนร่วมกันหลายส่วนและสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ดังกล่าว
“ในช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย. 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.4 รับแจ้งจากประชาชนที่เป็นผู้เสียหายหลายราย และหลายอาชีพ ซึ่งบางคนไม่กล้าเข้าแจ้งความเพราะอับอายที่ถูกหลอกเอาเงินไป เนื่องจากถูกหลอกผ่านการสนทนาทางสื่อสังคมออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ กับบุคคลที่อ้างตัวเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งใช้โปรไฟล์ที่เป็นชายน่าตาดี มีการสนทนาจนเป็นที่สนิทสนมและเกิดความไว้ใจ และมีการนัดหมายพบเจอกันในประเทศไทย แต่เมื่อถึงเวลานัดหมาย ชายชาวต่างชาติจะอ้างว่าตัวเองถูกกักตัวที่ด่าน ตม. ทรัพย์สินของมีค่าก็ถูกกักไว้ด้วย ขอให้หญิงชาวไทยหรือผู้เสียหายนั้นโอนเงินชำระให้ ตม. และจะมีการคืนเงินให้ภายหลังที่ได้พบเจอกันเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ชายชาวต่างชาติ ควบคุมเกมส์เอาไว้ได้ ไม่นานจะมีบุคคลที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรและทนายคาม โทรหาผู้เสียหายผ่านแอพพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมทั้งแจ้งว่า หากมีการโอนเงินให้กับบุคลต่างชาติจะถูกจับกุมดำเนินคดี แต่หากไม่จ่ายค่าภาษีสิ่งของจะถูกยึด จากนั้นก็จะมีการส่งหมายเลขบัญชีธนาคารให้กับทางผู้เสียหายผ่านช่องทางแชทสนทนา ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินให้ตามที่รับข้อมูลมา”
ผบช.4 กล่าวต่ออีกว่า ผู้เสียหายรายล่าสุด อยู่ที่อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี หลงเชื่อและโอนค่าอะไรต่างๆนานาไปอีกจำนวนมาก มูลค่าความเสียหาย จำนวน 439,000 บาท ถึงรู้ตัวว่าถูกชายชาวต่างชาติหลอก จึงเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี เพื่อให้มีการสืบสวนจับกุมบุคคลที่ร่วมกันหลอกลวงให้โอนเงินดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กุมภวาปี จึงมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบก.สส.ภ.4 เพื่อสืบสวนจับกุมตัวจากการสืบสวนทราบว่า บุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าให้นั้น หลบหนีและซ่อนตัวอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ส่วนคนที่หลอกแชทสนทนานั้นความจริงแล้ว เป็นชายผิวดำ ชาวแอฟริกา ที่ได้ปลอมโปรไฟล์เป็นชายที่มีน่าตาดี เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินให้ ส่วนเลขบัญชีที่ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้นั้นเป็นบัญชีชื่อของ น.ส.กัลย์สุดา จึงได้ไปตรวจสอบตามชื่อที่อยู่ดังกล่าว จนทราบว่าบัญชีธนาคารของ น.ส.กัลย์สุดา นั้น ได้เปิดบัญชีดังกล่าวด้วยการได้รับการว่าจ้างด้วยเงิน 3,000บาท จาก น.ส.วิภาวดี จากนั้นจึงรวบรวม พยานหลักฐาน ขอศาลออกหมายจับ จับกุมบุคคลทั้งสองคนมาดำเนินคดีตามกฏหมาย
“เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.4 นำหมายศาลเข้าจับกุมตัวทั้ง 2คน ที่รีสอร์ทใน จ.พิษณุโลก ภายหลังจับกุมได้สอบสวน น.ส.วิภาวดี ทราบว่า ตัวเองรู้จักกับหญิงสาวชาวไทย ที่มีสามีเป็นชายผิวดำ ชาวแอฟริกา ซึ่งขณะนี้อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ว่าจ้างให้ทำการรวบรวมบัญชีธนาคารให้ เพื่อจะนำไปทำธุรกรรมทางการเงิน โดยจะได้ค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งจากยอดโอน ที่มีคนโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งมีทั้งการโอนตรงเข้าบัญชีที่ต่างประเทศและโอนผ่านบัญชีธนาคารที่มีการว่าจ้างให้เปิดบัญชีไว้ จึงขอให้ประชาชนที่ถูกชาวต่างชาติหลอกเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะจากการตรวจสอบในเบื้องต้นขณะนี้พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์ในพื้นที่ สภ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี เสียหาย จำนวน 439,000บาท สภ.เมืองขอนแก่นเสียหาย จำนวน 126,000บาท สภ.สุวรรณภูมิ จำนวน 50,000บาท และยังพบว่ามีผู้เสียหายในหลายพื้นที่ที่ยังไม่แจ้งความ ในขณะเดียวกันก็มีการแจ้งคามร้องทุกข์คดีในลักษณะเดียวกันอีกในพื้นที่ สน.ดอนเมือง เสียหาย จำนวน 500,000บาท สน.บางเขน เสียหาย 225,000บาท สน.ห้วยขวาง เสียหาย 770,000บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบหมายเลขบัญชีดังกล่าว มีผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินเข้าไป มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท”