กองปราบรวบมือสังหารนักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์เสียชีวิตเมื่อปี 2549 หลังกบดานนานกว่า 15 ปี

กองบังคับการปราบปราม ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป., พ.ต.อ.สรร มั่นเมืองรยา รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป., พ.ต.ท.สุพจน์ พุ่มแหยม, พ.ต.ท.ธนวัฒน์ หิ้นยกฮิ่น, พ.ต.ท.ภูวนนท์ สมัครไทย, พ.ต.ท.อนุชา ศรีสำโรง รอง ผกก.5 บก.ป.

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย ว่าที่ พ.ต.ท.เกริก เสนาะสำเนียง สว.กก.5 บก.ป. พร้อมกำลังข้าราชการตำรวจ กองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ร่วมกันจับกุม นายเยี่ยมวุฒิ หรือนายปกป้อง หรือปุ้ย (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ 442/2549 ลง 22 เม.ย.2549 โดยกล่าวหาว่า “ ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองและพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ” จับกุ่มตัวได้ที่ บริเวณเนินเขา ม.5 ต.ทุ่งสมอ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

จากกรณีเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2549 ที่นายสตีเฟนฯ อายุ 40 ปี นักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์ ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตภายในซอยสนามไดรฟ์กอล์ฟ ถนนพัทยาสายสาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนทราบว่า นางสาวจินตนาฯ ที่อยู่กินฉันท์สามี-ภรรยา กับนายสตีเฟนฯ เป็นผู้ก่อเหตุ โดยมีมูลเหตุจูงใจมาจากการที่นางสาวจินตนาฯ ถูกนายสตีเฟนฯ ลงมือทำร้ายร่ายกายอยู่เป็นประจำ และถูกพูดจาข่มขู่ว่าจะยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่เคยให้นางสาวจินตนาฯ กลับคืน จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ นางสาวจินตนาฯ จึงได้ขอความช่วยเหลือจากนายวราวธิปฯ อายุ 24 ปี และนายเยี่ยมวุฒิฯ อายุ 25 ปี ให้ช่วยลงมือสังหารนายสตีเฟนฯ โดยนายวราวธิปฯ มีหน้าที่ขับขี่รถจักรยานยนต์พานายเยี่ยมวุฒิฯ ไปดักยิง นายสตีเฟนฯ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนางสาวจินตนาฯ และนายวราวธิปฯ ได้แล้ว เหลือแต่นายเยี่ยมวุฒิฯ (มือปืน) ที่ยังคงหลบหนีอยู่

จนกระทั่งวันที่ 13 พ.ย.2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ได้สืบสวนจนทราบว่า นายเยี่ยมวุฒิ หรือนายปกป้องฯ (ผู้ต้องหา) หลบหนีมาอยู่ที่ ม.5 ต.ทุ่งสมอ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ จึงได้นำกำลังเข้าจับกุมและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการสอบถามผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ลิงค์หรือข้อมูลเกี่ยวกับข่าวต้นเรื่อง https://mgronline.com/local/detail/9490000053753

“ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”