วันที่ 11 มี.ค.63 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ดร.อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ /โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงสรุปผลการปราบปรามและสนับสนุนการแก้ปัญหา COVID-19 ว่าตามที่ขณะนี้ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสร้างความเสียหายต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ จากสถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นช่องทางให้บุคคล กลุ่มบุคคล ผู้ประกอบการบางราย รวมถึงมิจฉาชีพอาศัยโอกาสเอารัดเอาเปรียบแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สร้างความเดือดร้อน หรือสร้างความวุ่นวาย ตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนและสังคมได้รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการเร่งด่วนให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการอย่างเฉียบขาดเพื่อป้องกันปราบปรามและร่วมแก้ไขบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ห่วงใยพี่น้องประชาชนรวมทั้งตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้สั่งการให้มีการติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิดรวมทั้งกำหนดมาตรการสำคัญเร่งด่วนให้ทุกหน่วยร่วมปฏิบัติ โดยมีผลการปฏิบัติที่สำคัญดังนี้
มาตรการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิด
- การจับกุมผู้ที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยโดยผิดกฎหมาย มีการจับกุมผู้ที่ลักลอบจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคาทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จับกุมจำนวนทั้งสิ้น 0 รายผู้ต้องหา 73 คน ของกลางหน้ากากอนามัย จำนวน 104,271 ชื้น คิดเป็นมูลค่ารวม1,290,997 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นการจับกุมหนร้าน 61 ราย และจับกุมจากการขายสินค้าทางออนไลน์ 9 รายในความผิดฐาน “จำหน่ายหน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสินค้าควบคุมในราคาสูงเกินสมควรหรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้า” อันเป็นความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พร.บว่าด้วยราคาสินค้และบริการ พ.ศ 2542 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 7ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- จับกุมผู้ที่โพสต์ส่งต่อข่าวปลอม หรือ Fake Neพ สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนและสังคมจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 6คดี ผู้ต้องหารวม 9 คน ในความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จหรืออาจสร้างความตื่นตระหนุกแก่ประชาชน” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับมาตรการป้องกันและสนับสนุนการแก้ไขปัญหา
พล.ต.ท.ดร.อุทาโย ผู้กล่าวฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนที่สั่งซื้อสินคออนไลน์ โดยขอให้ใช้ความระมัดระวังในการสั่งซื้อสินด้ ซึ่งอาจตรวจสอบ ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย ชื่อบัญชีและเลขบัญชีของผู้ขายถูกขึ้นบัญชีที่ต้องระมัดระวังหรือไม่ อย่าเห็นแก่สินค้าราคาถูก ซึ่งอาจไม่ได้คุณภาพ อยสั่งซื้อสินด้ครั้งละปริมาณมากๆ และหากเป็นไปได้ ให้นัดรับสินค้าจากผู้ขายโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีการซื้อสินค้าออนไลน์แล้วไม่ด้รับสินค้า ขอให้ผู้ซื้อเตรียมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อซื้อขาย เช่น ภาพเว็บไซต์ เพจ หรือหน้าที่ประกาศขายสินค้า ข้อความสนทนาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ขาย เช่นชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล์ เลขบัญชีธนาคารของผู้ขาย และหลักฐานการโอนเงินชำระ ค่าสินค้า และนำหลักฐานดังกล่วเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
พล.ต.ท.ดร. ปิยะ กล่าวฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการ หากฝ่าฝืนกระทำผิดกฎหมายหรือเอารัดเอาเปรียบประชาชนจะต้องระวางโทษ ดังนี้
กรณีการกักตุน จำหน่ายสินค้าเกินราคา ฉ้อโกง
- กักตุนสินค้ควบคุมโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 30 ประกอบมาตรา 41 โทษจำคุกไม่เกิน 7ปี หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- จำหน่ายสินค้าและบริการที่ควบคุมเกินราคา เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 39 ประกอบมาตรา 26 วรรคสอง โทษจำคุกไม่เกิน5ปี หรือปรับไม่ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- จำหน่ายสินดด้อยคุณภาพ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271 โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60.00 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
- การหลอกลวงขายสินค้าซึ่งไม่มีอยู่จริงให้แก่ประชาชน เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 341 ประมวลกฎหมายอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นการฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 โทษจำคุกไม่เกิน5ปี หรือปรับไม่กิน 100,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แล้วแต่กรณี
กรณีโพสต์หรือส่งต่อข่าวปลอม หรือ Fake News
- นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็เท็จ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100.000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(5) โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100.000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำผิดดังกล่าวต่างๆ สามารถแจ้งมายัง สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 191,1599 สายด่วน สคบ. หมายเลข 1166 และกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หมายเลข 021422555 หรือผ่านทาง แอปพลิเคชั่น Police I lert บ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง.
ที่มา สยามรัฐ