ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบคาคอนโด หนุ่มรับจ้างเปิด “บัญชีม้า” มีประวัติการปล้นทรัพย์! ตรวจสอบพบมีหมายจับติดตัวเพียบ

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์, พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร, พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล, พ.ต.อ.วงศ์ปกรณ์ เปรมกุลนันท์ รอง ผบก.ปอศ.,
ว่าที่ พ.ต.อ.ภูวเดช จุลกะเสวี ผกก.1 บก.ปอศ.,พ.ต.ท.ชัยพร เฮงจิตตระกูล, พ.ต.ท.ศักดิ์สะท้าน เปรื่องชนะ, พ.ต.ท.วิวัฒนชัย คลื่นแก้ว, พ.ต.ท.อัครพล เอี่ยมสำอางค์ รอง ผกก.1 บก.ปอศ. ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอศ.
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ต.วิสศรุษฏ์ ไทยจันอัด สว.กก.1 บก.ปอศ. ว่าที่ พ.ต.ต.ชนะศึก โรจนพิทยากร สว.(สอบสวน) กก.1 บก.ปอศ., ร.ต.อ.จาคี แข็งขัน รอง สว.กก.1 บก.ปอศ. พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอศ.
ร่วมกันจับกุม นายฐิติพงษ์ฯ อายุ 38 ปี เพื่อดำเนินคดี ดังนี้
1. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 1025/2567 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2567 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “โดยทุจริตหรือโดยการหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
2. ศาลอาญา ที่ 5781/2567 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมและแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น”
3. ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.1570/2567 ลงวันที่ 20 กันยายน 2567 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริต หรือโดยการหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
4. ศาลจังหวัดลำพูน ที่ จ.212/2562 ลงวันที่ 19 กันยายน 2562 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน, ผู้ใดกระทำความผิดโดยการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้อื่นหรือ ประชาชน”
5. ศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 1017/2567 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริต หรือโดยการหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”
สถานที่จับกุม บริเวณหน้าอาคารแห่งหนึ่ง ย่านรังสิต-คลอง 1 ซ.รังสิตนครนายก 28/1 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
พฤติการณ์ ตามนโยบายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่กำหนดให้การปราบปราม ภัยออนไลน์เป็นวาระแห่งชาติ
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./ หัวหน้าศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ได้สั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ระดมกวาดล้างผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีอาชญากรรม ทางเทคโนโลยีทุกมิติ เพื่อตัดวงจรการทำงานของสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรม
จากการสืบสวนพบว่านายฐิติพงษ์ฯ มีประวัติการร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด จึงได้มีการวางแผนการจับกุมอย่างรอบคอบเนื่องจากเป็นคดีที่มีความเสี่ยง และอันตรายในการจับกุม เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาอาจมีอาวุธติดตัว และอาจทำอันตรายได้
จนกระทั่ง ตามวันเวลาที่จับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอศ. ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่า นายฐิติพงษ์ฯ หลบหนีมาพักอาศัยในคอนโดย่านรังสิต ปทุมธานี จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์จนพบตัว และเข้าแสดงหมายจับ นายฐิติพงษ์ฯ ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับจริง และยังไม่เคยถูกจับกุมในคดีดังกล่าวมาก่อน
จากการจับกุมได้ตรวจค้นตัวนายฐิติพงษ์ฯ ปรากฏว่าไม่พบอาวุธใดใด และนายฐิติพงษ์ฯ ให้ความร่วมมือในการจับกุมตัวเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวและนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งนายฐิติพงษ์ฯ อ้างว่าตนไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง และการที่หาเงินโดยวิธีรับจ้างเปิดบัญชีนั้นง่าย และได้เงินเร็ว โดยไม่คิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นโทษต่อตนเอง และคนในสังคมขนาดนี้ และได้สอบถามต่อไปถึงหมายจับอีก 6 หมายที่เหลือ โดยผู้ต้องหาแจ้งว่าโดนจับตามหมายจับนั้นๆ ไปแล้ว
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย มิจฉาชีพได้พัฒนารูปแบบการรับจ้างเปิดบัญชีม้า โดยพุ่งเป้าไปที่การเปิดบัญชีออนไลน์ (สแกนใบหน้า) ซึ่งทำให้ผู้รับจ้างคิดว่าปลอดภัยเพราะไม่ต้องใช้สมุดบัญชี แต่ในความเป็นจริง ท่านกำลังใช้ใบหน้าและข้อมูลส่วนตัวของท่านเองในการกระทำความผิด
การรับจ้างเปิดบัญชี หรือ “บัญชีม้า” ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีที่สาขา หรือการเปิดบัญชีออนไลน์ (E-KYC) ถือเป็นความผิดร้ายแรงตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 มีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับสูงสุด 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอย้ำเตือนประชาชน อย่าเห็นแก่เงินเพียงเล็กน้อยจากการรับจ้างเปิดบัญชี เพราะอนาคตของท่านอาจต้องพังทลายลง ดังคำกล่าวที่ว่า…”รับจ้างบัญชีม้า… รายได้ดี คนจ่ายหาย คนขายติดคุก!”