คนร้ายสุดแสบ แอบอ้างเป็นผู้เสียหายโทรไปธนาคารเพื่ออายัดบัญชีและปิดแอปฯ ก่อนตีเนียนเป็นตำรวจและ DSI เข้าช่วยเหลือแล้วหลอกโอนเงิน รรท.ผบช.สอท. สั่งเร่งรัดคดี พร้อมให้คำมั่นจะจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้
สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.รรท.ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ตำรวจไซเบอร์ทุกกองบังคับการทั่วประเทศ เฝ้าระวังการเกิดเหตุแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน หากพบให้เร่งดำเนินการสืบสวน เพื่อจับกุมคนร้ายและดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดทุกกรณี เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียหาย
ล่าสุด ตำรวจไซเบอร์พบว่า ได้มีผู้เสียหายเป็นเยาวชนชายอายุเพียง 17 ปี อาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่าในพื้นที่ จ.อุดรธานี ได้ถูกกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกลวงอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ DSI จนสูญเงินกว่า 3.4 ล้านบาท จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ ต่อมา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.รรท.ผบช.สอท. จึงสั่งการให้พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.อภิรักษ์ จำปาศรี ผกก.1 บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย และติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุโดยเร็ว
ต่อมา พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ ได้นำกำลังตำรวจไซเบอร์ลงพื้นที่ และเข้าพบผู้เสียหายคือ นายรพีภัทร (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี พบว่าอาศัยอยู่กับผู้สูงอายุซึ่งเป็นปู่และย่า ในพื้นที่ อ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี จากการสอบถามข้อมูลทราบว่าเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา นายรพีภัทร์ได้อยู่บ้านกับย่าเพียง 2 คน ได้มีสายปริศนาโทรเข้ามาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI แล้วหลอกว่าบัญชีธนาคารของนายรพีภัทรเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในคดีฟอกเงินของนายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ โดยมิจฉาชีพที่โทรเข้ามานั้น ทราบข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายและแจ้งว่าได้อายัดบัญชีและปิดการใช้งานแอป Mobile Banking ในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายได้ เมื่อผู้เสียหายตรวจสอบ ปรากฏว่าบัญชีธนาคารได้โดนอายัดและไม่สามารถเข้าใช้งานแอป Mobile Banking ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้จริง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าผู้ที่ติดต่อเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริง
จากนั้นมิจฉาชีพให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนทางไลน์แล้ววิดีโอคอลพูดคุย จากนั้นมีคนแต่งกายเป็นตำรวจทั้งชาย และหญิงมาพูดคุยด้วย แล้วแจ้งให้โอนเงินไปตรวจสอบจำนวน 50,000 บาท แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่มีเงินในบัญชี มิจฉาชีพจึงบอกให้ไปหาเงินจากบัญชีธนาคารของญาติหรือใครก็ได้ แล้วโอนไปให้ตรวจสอบ ผู้เสียหายและย่าของผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงนำโทรศัพท์ของย่าที่มีแอปพลิเคชันธนาคารและมียอดเงินในบัญชีจำนวน 2 บัญชี โอนเงินไปให้คนร้ายรวม 10 ครั้ง เป็นจำนวน 1,372,311 บาท
ต่อมา ผู้เสียหายได้นำโทรศัพท์ของปู่ตนเองโอนเงินให้คนร้ายอีก จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 46,163 บาท แล้วได้นำบัญชีธนาคารอีกบัญชีของย่าซึ่งไม่สามารถโอนผ่านแอปพลิเคชันได้ ไปปิดบัญชีที่ธนาคาร แล้วนำเงินเข้าบัญชีของผู้เสียหาย ก่อนโอนให้มิจฉาชีพอีก 1 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 1,998,004 บาท รวมความเสียหายที่โอนเงินทั้งสิ้น 3,412,642 บาท ซึ่งทั้งหมดเป็นเงินเก็บของปู่และย่าของผู้เสียหายที่ได้เก็บมาทั้งชีวิต โดยมิจฉาชีพที่แต่งกายเป็นตำรวจได้วิดีโอคอลตลอดเวลาเพื่อควบคุมสั่งการมิให้คลาดสายตา
นอกจากนี้ เมื่อผู้เสียหายโอนเงินไปหมดแล้ว คนร้ายยังถามหาทรัพย์สินอื่นของผู้เสียหายอีก แล้วข่มขู่ว่าหากมีให้นำไปจำนองหรือจำนำแล้วนำเงินที่ได้โอนมาตรวจสอบ ผู้เสียหายและย่าจึงรู้ตัวว่าถูกหลอกลวง จึงพากันไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ตำรวจไซเบอร์จึงทราบว่า มิจฉาชีพได้แอบอ้างเป็นผู้เสียหาย คือตัวนายรพีภัทร์ฯ แล้วโทรศัพท์ไปที่ธนาคารเพื่อขออายัดบัญชีและขอปิดการใช้งานแอปพลิเคชัน Mobile Bankingบนโทรศัพท์มือถือของนายรพีภัทร์ฯ จากนั้นคนร้ายจึงแจ้งให้ นายรพีภัทร์ฯ ลองตรวจสอบ เมื่อ นายรพีภัทร์ฯ ตรวจสอบพบว่าบัญชีโดนอายัดและแอปพลิเคชันดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้จริง จึงได้หลงเชื่อ
ทั้งนี้ พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งฝน ให้สอบสวนผู้เสียหายเบื้องต้นตั้งแต่วันเกิดเหตุ โดยล่าสุดได้ประสาน ผกก.สภ.ทุ่งฝน จ.อุดรธานี เพื่อขอรับโอนคดีมายัง กก.1 บก.สอท.3 เป็นผู้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนแล้ว และจะได้เร่งรัดให้พนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สอท.3 ได้เดินทางไปพบผู้เสียหาย เพื่อให้กำลังใจแก่ผู้เสียหายและครอบครัวพร้อมกับได้สอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมทั้งตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย ทำให้ได้ข้อมูลพยานหลักฐานเช่น ข้อมูลการโทร ภาพคนร้าย คลิปวิดีโอ คลิปเสียง เพื่อนำมาประกอบคดีเพิ่มเติม
นอกจากนี้ พ.ต.อ.อภิรักษ์ฯ ยังได้วิดีโอคอลคุยกับผู้เสียหายทั้ง 2 คน ได้แก่ทั้งนายรพีภัทร (ผู้เสียหาย) และย่าของผู้เสียหาย เพื่อให้กำลังใจและคำมั่นในการเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี โดยแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่า ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจไซเบอร์เอง ทั้ง พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. และพ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท.ผบก.สอท.3 ขอส่งกำลังใจมาให้ และยืนยันว่า
“ตำรวจไซเบอร์ทุกนายมีความตั้งใจในการทำคดีอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นที่พึ่งและเยียวยาความเดือดร้อน
ของผู้เสียหายทุกราย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนมีชื่อเสียง บุคคลทั่วไป หรือกลุ่มเปราะบาง จึงขอให้มั่นใจ
ในการทำงานของตำรวจไซเบอร์”