รวบแก๊งขายฝันหลอกคนไทยไปทำงาน ตปท. อ้างเงินเดือนสูง

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบกลุ่มขายฝันหลอกคนไทยไปทำงาน ตปท. อ้างเงินเดือนสูง ที่แท้ลวงกักขัง-บังคับเป็นคอลเซ็นเตอร์ ประเทศเมียนมาร์

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม., พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์, พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์ รอง ผบก.ปคม., พ.ต.อ.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ ผกก.2 บก.ปคม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปคม.

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.เกียรติก้อง ทองคำ รอง ผกก.2 บก.ปคม., พ.ต.ท.วรพล เลิศวิริยะพงศ์, พ.ต.ท.ศิษฏ์ พูลวงศ์ สว.กก.2 บก.ปคม. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปคม.

ร่วมกันจับกุม 2 ผู้ต้องหา  ได้แก่

1.นายธีรพลฯ หรือ นายธนพลฯ อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2871/2567 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 จับกุม บริเวณหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง ถนนประชาอุทิศ แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร

พร้อมตรวจยึดของกลาง

1.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน รุ่น 14 โปรแม็กซ์ จำนวน 1 เครื่อง

2.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ เหมยตู จำนวน 1 เครื่อง

3.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน รุ่น 11 จำนวน 1 เครื่่อง

2.นางสาวอรัญญาฯ อายุ 21 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2870/2567 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567 จับกุม บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ต.ดอนศิลา อ.เวียงชัย จ.เชียงราย และทำการแจ้งข้อหาเพิ่มในเรือนจำทัณฑสถานหญิงกลาง ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานครกับผู้ต้องหา 1 ราย ได้แก่ นางสาวณัฐณิชาฯ อายุ 31 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2869/2567 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2567

โดยทั้ง 3 คนเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลฯ ในความผิดฐาน

1.​สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ถ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษา หรือทางอื่นใดโดยมีชอบ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูตรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ และผู้ที่สมคบกันกระทำความผิดคนใดคนหนึ่ง ได้ลงมือกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกัน (พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6 ประกอบ 6/1, 9, 52)

2.​ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยเป็นธุระจัดหา พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษา หรือทางอื่นโดยมิชอบ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การเอาคนลงเป็นทาสหรือให้มีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดอันเป็นการขูดรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 6ประกอบ 6/1, 10, 52)

3.​ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาน เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 309)

4.​ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 310)

5.​ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุศร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด พา หรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 320)

6.​ร่วมกันโฆษณาจัดหางานโดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด (พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 66, 88)

พฤติการณ์ก่อนหน้า สืบเนื่องจาก เมื่อเดือน ต.ค.2566 ต่อเนื่อง เดือน พ.ย.2566 รัฐบาลเมียนมาร์ และกลุ่มพันธมิตรทางตอนเหนือของเมียนมาร์ ร่วมกับรัฐบาลจีน เปิดปฏิบัติการทลายแก๊งจีนเทาขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเมืองเล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมาร์ พร้อมส่งตัวคนไทยที่ถูกหลอกลวงมาเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้กระทรวงการต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือเดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2566 จำนวน 266 คน จากนั้นได้นำตัวเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง คัดแยกเหยื่อตามกระบวนการ NRM ที่เขตหนองจอก ขณะที่กก.2 บก.ปคม. ได้รับมอบหมายให้ทำการสืบสวนสอบสวนกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ที่มีนายเฟยหยาง เป็นหัวหน้า เฉพาะกลุ่มนี้พบว่าบุคคลที่ถูกช่วยเหลือมา เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จำนวน 8 คน มีผู้ร่วมขบวนการ จำนวน 11 คน ที่ได้ร่วมกันกระทำความผิดในคดีส่วนนี้ มีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน แบ่งเป็น ส่วนของ HR ที่เป็นคนไทย จำนวน 4 คน ทำหน้าที่หลอกคนไทยมาทำงานเป็นแอดมินตอบแชทลูกค้า จ่ายเงินเดือนๆ ละ 25,000 – 50,000 บาท จากนั้นจะส่งต่อไปยังผู้ต้องหาที่เหลือ เพื่อนำตัวไปกักขังเพื่อบังคับใช้แรงงาน และบังคับให้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประเภท Hybrid Scam คือลักษณะหลอกให้รักแล้วชวนลงทุน โดยพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคม. ได้ขอศาลอาญาออกหมายจับบุคคลทั้ง 11 คน ดังกล่าวไว้ในความผิดฐานตามข้างต้น

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับ ว่านายธีรพลฯ หรือ นายธนพลฯ(ชื่อเดิม) ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าทีม ควบคุมการทำงานของคนไทยที่ถูกหลอกมา ให้เป็นไปตามที่นายเฟยหยาง บอสใหญ่สั่งการ  โดยพบว่านายธีรพล ฯ ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่คอนโดแห่งหนึ่ง ถนนประชาอุทิศ เขตดินแดง กรุงเทพฯ จึงไปตรวจสอบ เมื่อพบตัวจึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ พร้อมนำตัวพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคม. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป​

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การปฏิเสธ โดยนายธีรพล ฯ อ้างว่าก่อนเกิดเหตุตนเองทำงานเป็นพนักงาน อยู่ในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในเมืองเล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมาร์ และได้คบหาเป็นแฟนกับชายชาวจีน ต่อมาชายชาวจีน ได้ชักชวนให้มาอยู่ด้วยกัน และได้ช่วยเป็นล่ามแปลตามที่พูดเท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด ​

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้รับแจ้งว่า นางสาวอรัญญาฯ ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็น HR. โพสต์หลอกลวงคนไทยมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ บ้านหลังหนึ่ง ต.ดอนศิลา อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ก่อนจะพบนางสาวอรัญญาฯ จึงควบคุมตัว ทำบันทึกการจับกุมที่ สภ.เวียงชัย จ.เชียงราย ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปคม. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น นางสาวอรัญญาฯ ให้การปฏิเสธ โดยยอมรับว่าใช้เฟซบุ๊กที่มีตัวตนปลอม จัดหาคนไทยมาทำงานจริง แต่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีการแจ้งข้อหาเพิ่มในเรือนจำ จำนวน 1 คน ได้แก่ นางสาวณัฐณิชาฯ อายุ 31 ปี ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร หลังพบว่า ผู้ต้องหารายนี้ ทำหน้าที่เป็น HR. หลอกคนมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ยอมรับว่า จัดหาคนไทยมาทำงานจริง แต่ไม่รู้เรื่องการถูกบังคับแรงงาน หรือการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์แต่อย่างใด

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เตือนภัย ฝากเตือนภัยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ เนื่องจากกลุ่มคนร้ายจะอ้างรายได้จำนวนมาก มาล่อลวงเพื่อให้เกิดความสนใจ ดังนั้นขอให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโพสต์หรือประกาศชวนเชื่อต่างๆในออนไลน์ให้ดีก่อนตัดสินใจ

ฝากเตือนผู้ที่คิดจะตั้งตัวเป็นเอเย่นต์ หรือนายหน้า หลอกลวงคนไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ (คอลเซ็นเตอร์) ว่าเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ที่มีอัตราโทษสูง จำคุกกว่า 12 ปี ปรับสูงสุดถึง 1,200,000 บาท พร้อมกันนี้ความผิดฐานค้ามนุษย์ยังเป็นความผิดมูลฐานหนึ่งในกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งอาจถูกยึดทรัพย์ได้เช่นกัน

หากประชาชนมีเบาะแส หรือได้รับความเดือนร้อน สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์โทรสายด่วน 1191 หรือเพจเฟซบุ๊ก กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ “เป็นมืออาชีพด้วยเทคโนโลยีทันสมัยคืนคุณค่าความเป็นคน ประชาชนได้พึ่งพา”