ตร.ไซเบอร์เตือนภัย เพจศูนย์ดำรงธรรมปลอมระบาดหนัก หลอกเอาข้อมูล-ให้โอนเงินค่าทนายความ พบผู้เสียหายหลายราย

ตร.ไซเบอร์เตือนภัย เพจศูนย์ดำรงธรรมปลอมระบาดหนัก อ้างสามารถช่วยเหลือแจ้งความออนไลน์ได้ แต่กลับหลอกเอาข้อมูล และหลอกให้โอนเงินค่าทนายความ พบผู้เสียหายหลายราย

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่าได้รับการประสานงานจากศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย และจากการตรวจสอบในระบบศูนย์บริหารการแจ้งความออนไลน์ พบผู้เสียหายหลายรายถูกมิจฉาชีพหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล และหลอกลวงให้โอนเงินเป็นค่าทนายความ เนื่องจากผู้เสียหายได้ติดต่อไปยังเพจเฟซบุ๊กของรัฐปลอมต่างๆ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบเพจปลอม ดังนี้

1.เพจศูนย์ดำรงธรรมภาครัฐ

2.เพจศูนย์ร้องทุกข์คนไทย

3.เพจศูนย์ช่วยเหลือประชาชน

4.เพจศูนย์ดำรงธรรมเคลื่อนที่

5.ศูนย์เพจดำรงธรรมจังหวัดต่างๆ

ซึ่งเพจเหล่านี้ได้ถูกมิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน มีการใช้ตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็น ตราสัญลักษณ์ของตำรวจ บช.สอท., กระทรวงมหาดไทย, ศูนย์ดำรงธรรม และสภาทนายความ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ภายในเพจลักษณะดังกล่าวยังมีการนำรูปภาพและข้อความที่ถูกคัดลอก หรือถูกตัดต่อมาจากเพจของหน่วยงานรัฐจริงมาใช้แจ้งเตือนภัยออนไลน์ต่างๆ แสร้งหวังดีประสงค์ร้ายต่อผู้เสียหาย ต่อมาเมื่อมีประชาชนติดต่อเข้าไปทาง Facebook Messenger มิจฉาชีพจะสอบถามข้อมูลเบื้องต้นว่าถูกหลอกลวงเรื่องใด ความเสียหายเท่าใด พร้อมขอหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน หลักฐานการพูดคุยกับคนร้าย หลักฐานการโอนเงิน เป็นต้น จากนั้นจะให้เพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อไปติดต่อกับทนายความปลอม ที่อ้างว่าสามารถช่วยเหลือ และติดตามเร่งรัดคดีที่ผู้เสียหายเคยตกเป็นเหยื่อได้ แต่ต้องโอนเงินค่าทนายมาให้ก่อนถึงจะได้รับความช่วยเหลือ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปแล้วก็จะถูกตัดขาดการติดต่อ โดยมิจฉาชีพอาจจะนำข้อมูลที่ได้ไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการนำข้อมูลไปแฮ็กบัญชีสื่อสังคมออนไลน์แล้วไปหลอกยืมเงินผู้อื่น หรือโอนเงินจากบัญชีธนาคาร หรือนำข้อมูลไปขายให้กับแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ หรือนำไปแอบอ้างทำเรื่องที่ผิดกฎหมายต่างๆ เป็นต้น

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างหน่วยงานของรัฐ หลอกลวงเอาทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนตัวของประชาชนไปแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการใช้งาน หรือเข้าถึงบริการต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ ควรตรวจสอบช่องทางเหล่านั้นให้ดีเสียก่อนว่าเป็นของหน่วยงานนันจริงหรือไม่ ระมัดระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางคดี ซึ่งมิจฉาชีพอาจใช้โอกาสหลอกเอาข้อมูลไปเเสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างได้ รวมถึงไม่หลงเชื่อเพียงเพราะมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงาน แอบอ้างสัญลักษณ์ของหน่วยงานนั้นๆ หรือมีการประกาศโฆษณา หรือมีชื่อเพจเฟซบุ๊ก หรือเว็บไซต์ที่ตั้งชื่อคล้ายกับของหน่วยงานนั้นจริงเท่านั้น

จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการป้องกันเข้าสู่เพจเฟซบุ๊กปลอม ดังนี้

1.ประชาชนที่ได้รับความเสียหายในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://thaipoliceonline.com เท่านั้น โดยสามารถโทรสอบถามหรือปรึกษาได้ที่ สายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441 หรือ 081-866-3000 และไม่มีช่องทางไลน์ในการติดต่อ มีเพียงแชทบอท @police1441 ที่เอาไว้ปรึกษาคดีอาชญกรรมทางเทคโนโลยี คอยให้บริการตอบคำถามประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง

2.ช่องทางการติดต่อศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย มีเพียง http://www.damrongdhama.moi.go.th สายด่วน 1567 และแอปพลิเคชัน ศูนย์ดำรงธรรม 1567 แต่ไม่มีไลน์ทางการ ไม่มีเพจเฟซบุ๊กแต่อย่างใด หากท่านพบเห็นเชื่อได้ว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน อย่าเข้าไปติดต่อเด็ดขาด

3.เพจเฟซบุ๊กของตำรวจไซเบอร์ คือ “ ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท. ” และเว็บไซต์ตำรวจไซเบอร์ https://www.ccib.go.th เท่านั้น โดยหากท่านต้องการที่จะเข้าสู่เพจ หรือเว็บไซต์ ขอให้พิมพ์ชื่อด้วยตนเอง ป้องกันการเข้าสู่เพจ หรือเว็บไซต์ปลอม

4.เพจเฟซบุ๊กจริงจะต้องมีเครื่องหมายถูกสีฟ้ายืนยันตัวตน หากไม่มีเครื่องหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเพจปลอม

5.เพจเฟซบุ๊กจริง มักจะมีส่วนร่วมในการโพสต์เนื้อหา รูปภาพ หรือกิจกรรมต่างๆ ต่อเนื่อง รวมถึงมีจำนวนผู้ติดตามที่ไม่น้อยจนเกินไป

6.เพจเฟซบุ๊กปลอม หากตรวจสอบความโปร่งใสของเพจ จะพบว่าเคยเปลี่ยนชื่อมาจากเพจอื่นที่น่าสงสัย และมีผู้ดูแลอยู่ต่างประเทศ

7.ไม่กรอก หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางคดี ผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก โดยเด็ดขาด

8.การพิมพ์ชื่อหน่วยงานเพื่อค้นหาเว็บไซต์ของหน่วยงานใดๆ ไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอไป ควรเพิ่มความระมัดระวังในการสังเกตชื่อเว็บไซต์ หรือสังเกต URL อย่างละเอียด และไม่หลงเชื่อเว็บไซต์ที่มีการยิงโฆษณาของมิจฉาชีพ

9.หากพบ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นเพจเฟซบุ๊ก หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ จริงหรือไม่ ให้ติดต่อไปยังหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง ผ่านหมายเลขคอลเซ็นเตอร์ของหน่วยงานนั้น เพื่อสอบถามและแจ้งให้ทำการตรวจสอบทันที

10.หากมีการให้โอนเงินไปยังหน่วยงานที่แอบอ้างก่อนที่จะได้รับบริการใดๆ ให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน