วันที่ 21 ต.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานในสังกัด แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรม เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ นั้น
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ตามนโยบาย “มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน” จึงได้สั่งการให้ทีมงานประชาสัมพันธ์สอบสวนกลาง ดำเนินการตามนโยบาย ดังกล่าว
โดยสืบเนื่องจากในปัจจุบัน พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ ได้นำเอาการทำธุรกรรมออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ มาใช้ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือโอนเงินให้กับบุคคลอื่น ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ หรือผ่านตู้ ATM ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดทำให้โอนเงินผิดบัญชี จากการกรอกเลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้อง ซึ่งบางครั้งอาจเกิดปัญหาว่าเจ้าของบัญชีปลายทางไม่ยอมคืนเงินที่โอนผิดไปคืน นั้น
ตำรวจสอบสวนกลาง ขอเรียนว่า เจ้าของบัญชีปลายทางซึ่งได้ครอบครองทรัพยสินของผู้อื่น เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด แล้วบุคคลดังกล่าวได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ไม่ยอมส่งมอบคืนให้เจ้าของนั้น บุคคลดังกล่าวจะมีความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท (ระวางโทษเพียงกึ่งหนึ่งของความผิดฐานยักยอกปกติ)
ตำรวจสอบสวนกลาง จึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน กรณีได้รับเงินโอนผิดบัญชี ที่ผู้อื่นโอนเข้ามาที่บัญชีธนาคารของท่าน ห้ามนำเงินดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว และขอให้ดำเนินการดังนี้
- เมื่อทราบว่ามีรายการโอนเงินที่ไม่ทราบที่มา เข้ามาในบัญชีธนาคารของท่าน ห้ามถอนเงินดังกล่าวมาใช้เด็ดขาด
- ติดต่อกับทางธนาคารเพื่อตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว
- หากได้รับการติดต่อโดยตรงจากเจ้าของบัญชี ห้ามโอนเงินคืนเองเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเครื่องมือของคนร้ายในการฟอกเงิน
- ประสานกับทางธนาคารเพื่อให้ธนาคารทำการดึงเงินคืนบัญชีต้นทาง
และหากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามไปยังสายด่วน 191 หรือ สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง